วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Another went by

รีวิวหนังสือเล่นๆ ละกัน เราเพิ่งอ่านหนังสือจบ หลังจากสลัดตัวขี้เกียจ หาเวลาอ่านหนังสือที่ซื้อมาจบไปสองเล่ม ว๊า แย่ๆ ปกติอ่านมากกว่า 2 เล่มต่อเดือนนะเนี่ย เอาเป็นว่ามาดูกันแล้วกันว่าอ่านเรื่องไรเนอะ แชร์กันหน่อย แนะนำกันได้ค๊า
หนังสือ : Herr Jensen Steigt Aus/ ชายผู้ถอนตัวจากโลก
สำนักพิมพ์: สำนักพิมพ์วงกลม
herr jensen steigt aus
เล่มนี้ได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา ลดเหลือ 100 บาท สิ่งที่ทำให้อยากลองอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะเห็นว่าเป็นวรรณกรรมแปลจากทางประเทศเยอรมัน เราเองก็ล้างลาจากภาษาเยอรมันนานแล้วเลยรู้สึกคิดถึง ประกอบกับไม่เคยอ่านงานเขียนประเภทวรรณกรรมร่วมสมัยจากประเทศนี้เลย จึงอยากขอลองท้าดู (เพราะมีคนบอกว่าอ่านยากนะ หนักนะ ยิ่งห้ามมันก็เหมือนยื่งยุยังไงก็ไม่รู้เนอะ)
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ อ่านภายในวันเดียวก็จบแล้วค่ะ การใช้คำไม่ได้ยาก ไม่ได้มีคำศัพท์อะไรหรูหรา เป็นการบอกเล่าจากสายตาของคนบรรยาย สลับกับบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งตัวละครสำคัญคือคุณเจนเซ่น เป็นคนส่งจดหมาย ที่ตอนแรกอยากทำงานนี้ มีรายได้ อยู่ได้ เอาตัวรอดไปวันๆ ไม่ได้ต้องการความก้าวหน้าอะไร ไม่ได้อยากแข่งขันเป็นใหญ่กับใคร และเมื่อวันหนึ่งเขาตกงานขึ้นมา เขาจึงได้เปลี่ยนตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองครั้งใหญ่ว่าความจริงแล้วการที่ทุกคนต้องเรียน ต้องทำงาน ตั้งความหวังโน่นนี่ มันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นเพราะสังคมบีบให้เป็นเช่นนั้น
อ่านไปแรกๆ จะคิดหมั่นไส้ตัวละคร หรือรำคาญเล็กน้อย แต่อ่านไปเรื่อยๆ จะเริ่มสงสัย เพราะวิธีการเขียนบรรยายต่างๆ กระตุ้นให้ผู้อ่านได้คิดตาม อีกทั้งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา ไม่ใช่เรื่องแฟนตาซีแต่อย่างใด จบเรื่องแล้วบางคนอาจคิดว่า "อะไรเนี่ย เรื่องอะไร หมายความว่าไง" แต่มันเป็นเรื่องดีที่เราคิดแบบนั้น เพราะคำถามเหล่านั้นบังคับให้เรานั่งไตร่ตรองว่าตัวละครเหล่านี้ต้องการอะไร จนเราต้องเปิดหน้าบทวิเคราะห์ในตอนท้ายว่าคนอื่นเขามีความคิดเห็นกับเรื่องนี้เหมือนตัวเราหรือเปล่า
เรื่องที่ 2 นักเขียนคนโปรดของเราเอง คุณวินทร์ เรียววารินทร์ ได้มาจากงานหนังสือเช่นกัน
หนังสือชื่อ: เส้นสมมุติ
ซื้อจากบู๊ทหนังสือคุณวินทร์
เป็นหนังสือในสไตล์ "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน" รวมเรื่องสั้นหลายๆ เรื่อง หลายๆ แนว (แต่ไม่หลากหลายรูปแบบเท่ากับหนังสือ "สิ่งมีชีวิตที่เรียนกว่าคน") ตามสไตล์วินทร์เหมือนเดิมก็คือ แต่ละเรื่องเป็นการจบแบบหักมุม สะท้อนสังคม พูดผ่านตัวละครแบบตรงไปตรงมา เจ็บๆ แสบๆ คันๆ เหมือนโดนเอากระดาษทรายมาถูตัวยังไงยังงั้น
ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน" สนุกกว่า อาจจะเป็นเพราะตัวเองอ่านของนักเขียนคนนี้มาเยอะแล้วหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะบางเรื่องก็พอเดาออกว่าจะจบอย่างไร
ไว้แค่นี้ก่อนละกัน มีไรเพิ่มเติมจะมาแชร์นะคะ

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ใกล้แค่เอื้อม

Jim Thompson's House & Museum
บางทีของดีที่อยู่ใกล้ตัวเรากลับไม่ใฝ่หาหรือเสพรับเอาไว้ กลับไปไขว่คว้า เสาะแสวงหาที่อันไกลโพ้นออกไป ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ไกลตัวนั้นไม่ควรรู้หรือต่อต้านการไปที่นั่นแต่อย่างใด เพียงแต่การหวังอยากจะไปในที่แสนไกลนั้นๆ มันเหมือนฝันลมๆ แล้งๆ และเมื่อฝันมากๆ บางทีไม่ได้ไป ก็จะพลอยทำให้เศร้าว่าทำไมเราไม่ได้ไปสักที
ผู้เขียนเองก็อยากบอกว่า กรณีข้างต้นตนเองเป็นบ่อยเหมือนกัน พอเมื่อไม่นานนี้ เป็นโอกาสอันเหมาะ แอบปลีกตัวออกมาและทนกับอากาศร้อนเล็กน้อย จึงได้ไปเยี่ยมบ้านบุคคลสำคัญที่ทำให้เมืองไทยมีชื่อเสียง นั่นก็คือบ้านคุณจิม ทอมป์สัน ชาวอเมริกาที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวรหลังปลดประจำการราชการกองทัพสหรัฐฯแล้ว คุณจิมรักและหวงแหนในศิลปะ เอกลักษณ์ของไทย โปรโมทผ้าไหมไทยไปยังต่างแดนจนเป็นที่รู้จักกันในนาม King of Thai Silk หรือ ราชาไหมไทยนั่นเอง
นั่งรถไฟฟ้าลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ จากนั้นเดินเข้าซอยที่มีบันไดเลื่อนขึ้นบีทีเอสนั่นแหละค่ะ เดินเข้าไปจนสุดซอย ทีแรกผู้เขียนคิดว่าเข้าถูกซอยหรือเปล่า เดินมากลางซอยแล้วยังไม่เห็นป้ายเลย แต่ก็เชื่อว่าน่าจะถูกเพราะเห็นชาวต่างชาติเดินเข้าไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าระหว่างเดินเข้าไปก็จะมีไกด์หลอกๆ (ไกด์ผี) อยู่เป็นระยะ ก่อนถึงบ้านคุณจิม จะเป็นห้องสมุดวิลเลี่ยม วอร์เรน ผู้เขียนชีวประวัติคุณจิม ทอมป์สัน ห้องสมุดแห่งนี้อาคารเป็นแนวโมเดิล และมีกิจกรรมงานศิลป์ร่วมสมัยอยู่บ่อยครั้ง หากใครเลยเข้าไปชม เข้าไปร่วมกิจกรรมก็มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ ถัดตัวห้องสมุดนั่นก็คือบ้านและพิพิธภัณฑ์จิม ทอมป์สันนั่นเอง

เมื่อเดินเข้าไปทางซ้ายมือจะเป็นอาคารจัดนิทรรศการ (ส่วนใหญ่แนวศิลปะ ภาพยนตร์) ชั้นล่างเป็นร้านขายของ ทางด้านขวาจะมีที่ซื้อตั๋วเข้าชม สำหรับผู้เข้าชมผู้ใหญ่ราคา 100 บาท เด็กหรือนิสิต นักศึกษา ราคา 50 บาท งานนี้เป็นคนไทยก็ต้องเสียนะคะ ถัดจากที่ขายตั๋วเป็นร้านอาหารไทยที่มีบ่อปลาคราฟตัวโตว่ายไปมา ถึงผู้เขียนจะเข้ามาเยี่ยมในวันที่อากาศแสนร้อน แต่รอบๆ บริเวณบ้านกลับร่มเย็น มีต้นไม้ใหญ่บังแดดให้สำหรับคนที่กลัวสิวและฝ้า
พนักงานต้อนรับแต่งตัวแบบไทยประยุคเรียบร้อย ส่งยิ้มหวานเชื้อเชิญให้เข้าไปลงชื่อก่อนมีไกด์พานำเที่ยว ผู้เขียนไปกับคุณแม่ เป็นนักท่องเที่ยวคนไทยเพียง 2 คนในวันนั้น ก็คิดว่าคงได้ไปรวมกลุ่มกับชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษสักกลุ่ม และตัวผู้เขียนคงได้ทำหน้าที่ล่ามให้คุณแม่เป็นแน่แท้ พอถึงเวลานัดแล้ว กลับมีไกด์ใจดีคนไทยเข้ามาทักทายพาเราเดินชมและพูดภาษาไทยตลอดการเดินชมในบ้าน ผู้เขียนแอบได้ยินไกด์ภาษาอื่นๆ นำเที่ยวชาวต่างชาติอยู่บ้าง ฟังแล้วแอบอิจฉา อยากรีบกลับไปฝึกภาษาที่ 3, 4, 5, 6, 7, 8……. เลยทีเดียวเชียว สำเนียงเป๊ะมากค่ะ
บ้านคุณจิมนั้นเป็นบ้านไม้สัก ทรงไทย 6 หลัง ที่นำมาประกอบและดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านหลังเดียว มีสัดส่วนต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าในทุกสัดส่วน มีชั้นล่างไว้วางรองเท้า มีห้องสะสมเครื่องชามโบราณ ผืนผ้างานศิลป์ที่หาดูได้ยาก รวมถึงพระพุทธรูปมากมายที่คุณจิมสะสมไว้ด้วย ตัวอาคารบ้านทั้งหลังมีการตกแต่งในลักษณะของชาวตะวันตกที่ชื่นชอบงานศิลปะของทางตะวันออก แต่ยังคงสภาพบ้านและบรรยากาศให้เหมือนอยู่บ้านไทยเดิมมากๆ ห้องที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผู้เขียนคือห้องรับรองแขกที่นอกจากผ้าปูเตียงจะเป็นลายไทยแบบบนฝาผนังวัดแล้ว ยังมีห้องน้ำที่ทางไกด์ใจดีบอกว่าเป็นห้องน้ำแบบชักโครกทันสมัยอีกต่างหาก หากแต่เป็นความประสงค์ของคุณจิมที่ไม่อยากให้เปิดให้สาธารณชนเข้าชม (เลยอด) อีกห้องที่น่าสนใจคือห้องทำงานของคุณจิมที่มีติดแอร์ตัวเล็กๆ ไว้ด้วย และแอร์ตัวนั้นก็ยังใช้งานได้อยู่ ก่อนจากกันไกด์ผู้ใจดีบอกเราว่า ความจริงแล้วมีทัวร์ไปเที่ยวไร่ไหมของจิม ทอมป์สันด้วย อยู่ที่โคราช เปิดเป็นบางช่วงเท่านั้น ฟังแล้วก็หู่ผึ่งอยากไปเที่ยวอีกแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวต้องหาข้อมูลก่อน หรือใครใจดีอยากมาเล่ามาบอกก็เชิญเลยค่ะ
ด้วยอากาศที่ร้อนผู้เขียนเลยเดินเล่นในร้านขายของ ชาวต่างชาติชื่นชมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไหมไทยไปเป็นการใหญ่ แอบได้ยินสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ยืนอ่านคำทำนายไทยโบราณที่ทำเป็นของที่ระลึกด้วยความสนุกสนาน ปนแปลกใจ อ่านจบก็บอกกันว่า ซื้อไปสักอันแล้วกันนะ แค่ 2 ปอนด์เอง อืมมม มันถูกสำหรับเขาซินะ สำหรับผู้เขียนแล้ว ข้าเข้าชม 100 บาทนี้คุ้มมาก ทั้งบรรยากาศและความรู้ที่จะได้รับจากไกด์หลากภาษา เงินทั้งหมดนี้นอกจากใช้ทำนุบำรุงสถานที่อันมีความสำคัญยิ่งของไทยเรานี้แล้ว ยังแบ่งส่วนหนึ่งไปช่วยโรงเรียนคนตาบอดอีกด้วย ของดีอยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้ อย่าลืมแวะไปลองสัมผัสบ้างนะคะ  

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

Free Day


It’s been a while that I didn’t sit on the reddish sofa and watch moving picture from a giant screen. Especially, a person who just start the first job, try to balance many activities in her schedule and also the price of ticket in Thailand is expensive (approximately 160 Baht each). However, last week found I the precious free stuffs.
Geothe Insitute’s event had German Film week, which started from 20 – 26 February 2012. In my mind think only “Ich mochte eine Film sehen und Deutsch gehoren lesson.” (forgive me if my Deutsch is not good since I had learned long time ago), which could shout in English as “I want to see movie and my Deutsch listening lesson.” . Moreover, it’s free! After I went through with film list, I decided to go with Romantic Comedy called “Lila Lila” on Saturday evening.  Sending the mail was the next thing, in the next few minutes, there was a reply from officer of Geothe said that there were seats available for me and asking how many ticket I want. Oh holy……..! I forgot that normally people went to cinema with someone. Then, hurriedly me asked around and thought that I was silly to waste such time because there’s no one in my friend’s list will go to see German film with English subtitle. “I think I will go alone, so just one ticket for me” that was my answer.
On Saturday 25th February, 2012 was the day! The movie started around 19.00 p.m., going before time and filling my stomach with Ham+Cheese sandwich. The meal was free by paid with Starbuck cash card I had as my New Year lucky draw. Find the name from the booking list, getting the ticket and ready to see Lila Lia.
I’d got seat G9 where I sat quite close to screen and in the middle of the whole theatre. You might think it sounded great, but will you feel strange if the next 4 seats (both left and right) had no one. Yes, no one, just only me! So I had 2 things on my mind. First if the staff I talked through email made some kind of joke? Or he was just so kind and booked the middle because he thought it is the best seat. I laughed to myself, feeling graceful that he gave me new and strange experience of seeing movie like this.
Now, talking about the “Lila Lila” was about a story of David Kern, the waiter, who fell in love with Marie Berge, a literature student. He tried to impress this lovely girl by lying that the novel that he accidentally found in the tray of antique he bought was his own work. Well, the girl impressed, fell in love with him and sent the copy to publisher. Surprisingly, loved by publisher and turned out to be a hit for market too. While he was giving autograph for fans, one man named Jackey came and claimed he was the author of Lila Lila (which supposed to be dead long time ago by car accident). A mess came from Jackey trying to control and be part of David’s famous. Until he felt unhappy and Marie broke up with him. One day, David found out that Jackey was a fault like him. He knew the author, but not the real author. Jackey was trying to stop angry David and fell off the hotel’s balcony. David wrote for the first time a story named “Das Nachttisch” or a bedside table about Marie and him. Well like other Romantic, it ended happy with Marie came back to him.
It might sound simple, but to watch and see different kind of joke and the way of human expression is kind of fun and very interesting in my opinion. Thank you for free stuffs that make my free day not just another silent day.

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

Review- ในกระจก: วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน

Review  ในกระจก: วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน
สวัสดีปีใหม่ค่ะ อ่านหนังสือจบประเดิมเล่มแรกของปี 2555 ความจริงแล้วเล่มนี้ก็อ่านตั้งแต่ปีที่แล้วเนี่ยแหละ แต่ยาวมาจบวันที่ 31 ธันวาคม 2554 หนังสือเล่มนี้ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา เป็นหนังสือหนักอีกเล่มนึงเลยทีเดียว หนังสือชื่อ ในกระจก: วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวมเรื่องสั้น ผลงานของนักเขียนระดับเทพหลายท่าน ซึ่งเดิมทีแล้วการรวมเรื่องสั้นเหล่านี้รวมและแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย ศาสตราจารย์เบเนดิกท์ แนเดอร์สัน (In the Mirror: Literature and Politics in Siam in the American Era) ผู้ช่ำชองวรรณคดีเอเชียเป็นอย่างยิ่ง ได้นำไปใช้เป็นสื่อการสอนในอเมริกา สำหรับคอร์ส หรือ คลาส ที่เกี่ยวกับประเทศไทย

หลังจากนั้นค่อยจัดทำและวางจำหน่ายเป็นภาษาไทย ภายใต้สำนักพิมพ์อ่าน
ขอเตือนไว้แต่แรกสำหรับผู้ไม่ชอบอ่านอะไรที่เป็นดราม่า เครียดๆ หนักๆ สะท้อนสังคม ออกแนวหดหู่ เพราะทุกเรื่องเป็นแนวนี้หมดค่ะ แค่เริ่มบทนำที่เขียนโดยคุณเบเนดิกท์เอง ก็หนักอึ้งเกือบร้อยหน้าเข้าไปแล้ว เป็นการอ่านบทนำที่ใช้เวลานานที่สุดเท่าที่เคยอ่านหนังสือเล่มไหนๆ มา แต่ก็สนุก ได้ความรู้ ทบทวนประวัติศาสตร์บ้านเรา ได้กระตุกปมความคิดให้ตั้งสติในหลายๆ ด้าน แต่ด้านทีทุกคนที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านในคราวแรกคงหนีไม่พ้น ความทึ้งในความรู้ของชาวต่างชาติคนนี้ ที่ให้ข้อมูลทั้งด้านบวกและลบของสังคมในประเทศไทยอย่างรู้จริง
มาดู list เรื่องสั้นและคนแต่งกันบ้าง ลองดูตามแล้ว อ่านผ่านๆ ดูว่ามีเรื่องไหน หรือนักเขียนท่านไหนที่คุ้นชื่อบ้าง สำหรับตัวเราแล้วนั้น ขอยอมรับโดยสดุดีว่า ชื่อนักเขียนเคยคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ชื่อเรื่องสั้นและผลงานเหล่านี้ ทำเอาเราคิดว่าเราเป็นผู้อ่านแบเบาะไปเลย เพราะไม่คุ้นและเคยผ่านตาสักนิด เอาเป็นว่าลองดูกันค่ะ แล้วบอกกันบ้างนะคะว่าคุ้น เคยอ่าน หรือรู้จักสักกี่ท่าน กี่เรื่อง
1.       กมลสันดาน โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
2.       เหมือนอย่างไม่เคย โดย วิทยากร เชียงกูล
3.       อีกไม่นานเธอจะรู้ โดย ลาว คำหอม
4.       มิชิแกนเทสต์ โดย วาณิช จรุงกิจอนันต์
5.       ก่อนถึงดวงดาว โดย วัฒน์ วรรณยางกูล
6.       แม่พระคงคา เถ้าแก่บัก และหมา โดย ศรีดาวเรือง
7.       หมู่บ้านรถไฟ โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
8.       คนอ่านหนังสือ โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
9.       ในกระจกเงา โดย กรณ์ ไกรลาศ
10.   ยาเม็ดสีชมพู โดย มานพ ถนอมศรี
11.   12.00 . โดย นิเวศน์ กันไทยราษฎร์
12.   กำไลคอ โดย สำรวม สิงห์
13.   ผืนน้ำและแผ่นดิน โดย ประทีป ชุมพล
ความจริงแล้วแต่ละเรื่องไม่ได้ยาวเลย แต่ด้วยเนื้อหาที่หนัก ทำให้อยากค่อยๆ ดู กลับไปอ่านอีกทีว่าเข้าใจถูกไหม เหมือนเราค้นหาเหตุผลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อตาเรานั่น และถ้าไม่รวมบทนำ คำนำ บทสัมภาษณ์ ประวัตินักเขียนและอื่นๆ หนังสือเล่มนี้ก็คงบางกว่านี้ อาจจะขนาดเท่ากับหนังสือทั่วไปและคงถูกกว่า 350 บาทเป็นแน่
หลังจากตรงนี้ก็เป็นประวัติของนักเขียนแต่ละคน บทสัมภาษณ์คุณเบเนดิกท์ผู้แสนถ่อมตน บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญภาษาอินโดนีเซีย ได้แปลจากภาษาอินโดเป็นภาษาอังกฤษหลายเรื่องแล้ว แล้วคิดว่าภาษาอินโดง่ายที่สุดในแถบนี้ ยังได้บอกอีกว่า ตัวเองคงไม่ได้แตกฉานภาษาไทยอะไรนัก แต่ด้วยเนื้อเรื่องเหล่านี้ แล้วสามารถนำไปสอนชาวต่างชาติที่ภาษาแม่ห่างไกลกับภาษาไทยนัก รวมถึงนั่งวิจารณ์งานเขียน ให้ความเห็นเกี่ยวกับสังคมไทยได้มากมาย ลึกซึ้งยิ่งกว่าคนไทยบางคนแล้ว ขอบอกเลยว่าคุณเบเนดิกท์แตกฉานภาษานี้แล้วละค่ะ
คงเป็นอีกเรื่องที่อนาคตต้องมานั่งอ่านอีกรอบ แต่อ่านอีกรอบเนี่ยไม่แน่ว่าจะอ่านเหล่าเรื่องสั้นพวกนี้ แต่ที่เราสนใจอ่านอีกรอบคือตัวบทสัมภาษณ์ ประวัติผู้เขียนทั้งหลายและบทวิจารณ์ต่างหาก
ข้อเสีย (สำหรับตัวเรา) ของหนังสือเล่มนี้คือ เนื้อหาหนัก อ่านกันเหนื่อยหน่อย
ข้อดีคือ ได้เห็นว่า ความจริงแล้วก็มีต่างชาติชื่นชมผลงานบ้านเราเหมือนกัน ด้วยข้อความตรงบทสัมภาษณ์ของคุณเบเนดิกท์ทำให้เรารู้ว่า เรายังมีความ irony อยู่ในตัวพอสมควร และด้วยการอ่านบทสัมภาษณ์และคำนิยมแล้วก็ทำให้เราได้เปิดใจกับอีกหลายเรื่องมากขึ้น

ถึงตรงนี้ตอบคำถามตอนต้นหน่อยว่ามีใครคุ้นกี่ชื่อ กี่เรื่องกันบ้าง ^^