วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

StilaD: Museum of Siam

StilaD: Museum of Siam: ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามีอะไรเยอะแยะมากมายที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว กว่าจะได้มีเวลามาพิมพ์งาน เขียนงาน ฝึกเขียนอีกครั้งก็ใกล้สิ้นปีแล้ว ได้แต่...

Museum of Siam

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามีอะไรเยอะแยะมากมายที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว กว่าจะได้มีเวลามาพิมพ์งาน เขียนงาน ฝึกเขียนอีกครั้งก็ใกล้สิ้นปีแล้ว ได้แต่ทำตัวเป็นคนกรุงไปมารถไฟฟ้า กินข้าว เข้าออฟฟิส ไม่ได้มีเวลานั่งเงียบๆ อ่านหนังสือที่ตัวเองดองไว้เป็นชาติ หรือไปเที่ยวไหนเลย วันนี้เลยตัดสินใจว่เปลี่ยนบรรยากาศ ไปเที่ยวใกล้ๆก็ยังดี ทีแรกว่าจะไปนิทรรศกาล"รัตนโกสินทร์" แต่หาที่จอดไม่เจอ และได้ข่าวว่าเก็บค่าเข้าแพง (ใครมีข้อมูลแนะนำก็มาเม้นท์บอกต่อบ้างนะคะ) เลยเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์สยาม หรือ Museum of Siam เป็นที่ที่เปิดได้สักพักแล้ว แต่เรายังไม่มีโอกาสได้เข้าสักที

เริ่มจากวนรถหาที่จอดก่อน เนื่องจากมีญาติแนะนำว่าให้หาทางเข้าให้เจอ เพราะข้างในเขามีที่จอดรถเหลือเฟือ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้ เลยมักจอดซอยใกล้ๆแล้วเดินเข้ามากัน หากใครจะเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ให้เข้าทางเข้าของกระทรวงพาณิชย์ค่ะ ยามจะให้บัตรจอดรถที่จอดได้ 4 ชั่วโมง แล้วอย่าลืมสแตมป์บัตรที่เคาเตอร์ซื้อตั๋วด้วยนะคะ


บรรยากาศข้างในร่มรื่น อาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบเก่า สภาพยังแข็งแรงอยู่ ยามที่เฝ้าประตูก็ใจดีแนะนำให้เราถ่ายรูปตึกสวยๆก่อนเข้า ชี้โน่นนี่ เชื้อเชิญให้ถ่ายรูปด้วยหน้ายิ้มแย้ม เข้าประตูไปก็เจอเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท แต่ผู้สูงอายุเข้าฟรีค่ะ พ่อแม่ผู้เขียนไม่ต้องเสีย ดีค่ะ ประหยัด ฮิๆๆๆๆ


พอจะเข้าชม เจ้าหน้าที่ก็มาเบรก (ซะงั้น) ไม่ให้เราเข้า บอกให้รอสักครู่ จะได้เข้าชมวิดีทัศน์ก่อน แล้วดูเป็นลำดับไป (อ๋อ อย่างงี้นี่เอง) เข้าไปเป็นการฉายหนัง 5 นาที บนผืนผ้าสีขาว เป็นภาพคนหลากหลายบทบาท แต่คำถามหลักที่อยากกระตุ้นให้เราคิดก็คือ "คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า" แล้ว "คนไทยคืออะไร" ถ้าให้ผู้เขียนวิจารณ์แบบตรงๆ คือภาพ เสียง การลำดับน่าสนใจ แต่... ไม่ประทับใจ ยังกระตุ้นไม่พอ คำถามนั้นไม่หนักพอ ซึ่งผู้เขียนคาดว่า เป็นเพราะต้องการสื่อออกมาหลายๆด้าน ประกอบกับแต่ละ shot นั้น เป็นเหมือนบทนำของแต่ละส่วนในมิวเซียมที่เรากำลังจะเข้าชม


จบจากโรงหนังที่เรียกว่าห้อง "เปิดโรง" แล้วนั้น ต้องขึ้นไปชั้น 3 ห้อง สุวรรณภูมิ เล่าว่าแผ่นดินที่เราอยู่นั้นคืออะไร ทำไมจึงเรียกว่าสุวรรณภูมิ หลังจากห้องนี้ไปก็จะค่อยๆ เริ่มเป็นวิวัฒนาการของสยามประเทศ ตั้งแต่ดั้งเดิมว่า ชาวไทย ชาวสยาม ต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ไหน ตั้งรกรากตรงนี้ได้อย่างไร เกิดประเทศสยามได้อย่างไร แล้วค่อยๆ เข้ามาเป็นกรุงศรีอยุธยา ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การรบศึกสงคราม การค้าขาย ติดต่อต่างประเทศ ห้องแผนที่ จนถึงยุคปัจจุบัน

ตลอดการเข้าชมพิพิธภัณฑ์สยามนี้ ข้อดีคือ มีวิดีโอ interactive จำพวกเกม จอหนัง กิจกรรม เล่นแต่งตัว ให้ได้สัมผัส ทำให้เพลินได้อยู่บ้าง (คนที่อยากถ่ายรูปก็เต็มที่เลยนะคะ เขาไม่ห้ามค่ะ) ข้อ... ที่คิดว่าควรดีกว่านี้ (อย่าเรียกว่าข้อเสียเลยค่ะ) คือ สิ่งของต่างๆดูน้อยมาก อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรวบรวมได้น้อยหรือเปล่า เพราะเท่าที่อ่านคำบรรยายแล้วนั้น คนบริจาคเป็นชื่อเดียวกันหมดเกือบทุกชิ้นเลยค่ะ วิดีโอ และที่เล่นบางอย่างเริ่มเสียหายแล้ว และบรรยากาศยังออกแนวอึมครึม เหมือนๆกับมิวเซียมที่อื่น ซึ่งความจริงแล้วนั้นบางห้องไม่จำเป็นต้องทำให้มืดก็ได้ แต่สรุปโดยรวมแล้ว ถือเป็นมิวเซียมที่ดีแห่งหนึ่งในไทยเลยก็ว่าได้ เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาด้านการศึกษาที่ดีเลยทีเดียว

จบทริปก็ลองแวะไปทำเหรียญที่ระลึก หรือเข้าร้านขายของซื้อข้องน่ารักๆ พวกสมุดโน้ตติดไม้ติดมือกลับไปก็ได้นะคะ

Opening Hours: Tuesday - Sunday and public holidays (closed Monday, Songkran Holiday, NewYear's Eve, New Year's Day) 10.00 am - 6.00 pm

Adress: National Discovery Museum Institute, Museum of Siam
 4 Sanam Chai Road, Phra Nakhon, Bangkok 10200
Tel: 02-225-2777
website: http://www.ndmi.or.th/

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

เด็กน้อยในเมืองผู้กล้า 4

บทที่ 3 Thai-lish vs. Scott-lish
พี่อะอยากจะร้องไห้ ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยตอนแรก
ทีแรกผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่พี่สาวพูดมาหนะเวอร์แน่ๆ พี่สาวออกจะเรียนเก่ง คุยกับฝรั่งก็คล่อง จะฟังไม่ออกไม่รู้เรื่องได้ยังไงกัน พอไปเจอจริงๆก็ เอ่อ คือว่า คือ เอ่อ คือ ตัวฉัน แบบคือว่ามัน เผ่นดีไหมเรา คือเขาจะพูดสำเนียงแปล่งๆคะ ตัว “r” ก็จะม้วนลิ้นยิ่งกว่าสำเนียงคนอเมริกา แต่ไม่รัวเท่ากับ ในภาษาไทย เท่าที่ผู้เขียนได้ฟังมา1ปีกว่า คิดว่าการกระดกลิ้นนั้นใช้คนละส่วนของลิ้นคะ ของเขาน่าจะไปทางโคนลิ้นมากกว่า ส่วนของเราจะรัวกันที่ปลายลิ้นกันไป ถ้าใครที่เรียนPhonetics โดยตรงก็น่าจะเข้าใจนะคะ ส่วนสำเนียงของเราก็ทำเอาคนพื้นที่งงไม่น้อยเช่นกัน แบบว่าทำไมมันเน้นได้ทุกคำละเนี่ย
บางคำเขาก็พูดกันแบบสั้นๆไม่เต็ม เช่นคำว่า University เขาก็พูดกันแค่ Uni ผู้อ่านออกเสียงยังไงคะ สำหรับที่นั่น โดยเฉพาะลุงขับแท๊กซี่ที่เจอกันวันแรกนั้นพูดว่า ยู้นี่ ใช่คะ เหน่อมากคะ ทำเอาผู้เขียนงงกันตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าเมืองกันเลยทีเดียว ทำนองว่านายด่านตอนลงที่สนามบินฮีทโทรยังไม่เป็นแบบนี้เลย ข้ามเขตมาแค่เนี่ยทำไมถึงต๊างต่าง แต่จะว่าไปแล้วสำเนียงของชาวสก๊อตจะมีโทนมากกว่าคนอังกฤษนะ
“Do you want fish and chips?”
“!!! Ah! Yes, please”
คือว่ามาอังกฤษ อาหารประจำชาติก็ฟิชแอนด์ชิป แต่ที่นี้ผู้เขียนแอบงงตรงคำว่าชิปเนี่ยแหละ ตามที่เราเคยรู้มาเนี่ยมันเป็นภาพของมันฝรั่งอบกรอบเลย์ลอยมา แล้วนี่ปลาทอดจะกินคู่กับมันฝรั่งอบกรอบเนี่ย มันจะเข้ากันหรือ แล้วพอเขายกมาให้ก็ถึงบางอ้อว่า มันคือเฟรนฟรายนั่นเอง แล้วเฟรนฟรายที่นี่ขนาดตามคนกินคะ ใหญ่ อ้วน มีเนื้อให้เคี้ยว ไม่กรอบเท่าไหร่ อีกอย่างที่ผู้เขียนงงแล้วทำเอาพี่สาวฮามากๆคือเรื่องขนมปัง
“Do you want soup with a roll?”
“a what?”
 “a roll”
“um! Is it free?”
“yes”
“then, I will have it”
ผู้เขียนรู้แค่ว่าตัวเองสั่งซุป แต่ที่เขาว่าโรว์เนี่ยมันคืออะไร ผู้เขียนพยายามคิดว่ามันคืออะไร ทำไมเขาต้องให้เรากลิ้งด้วย หรือเขาจะกลิ้ง หรืออะไรม้วนๆ ไม่เก็ตอย่างรุนแรง พอเขาเสิร์ฟมันก็เป็นซุปที่เราสั่งกับขนมปังก้อนกลมๆก้อนนึง
พี่คะ ไอ้คำว่า rollเนี่ยหมายถึงขนมปังหรอ
อ่าว ก็ใช่นะซิ แล้วเธอคิดว่ามันเป็นอะไรละ
ก็ไม่รู้อะ เขาพูดมาก็งงว่าทำไมเราจะต้องกลิ้งด้วย
ฮ่าๆๆๆๆๆ จะบ้าหรอ มากินข้าวใครเขาให้เธอกลิ้ง
อ่าว ก็ขนมปังกลมๆเล็กๆแบบนี้ปกติเขาเรียกว่า bunไม่ใช่หรอ
ก็ที่นี่เวลาเขาเสิร์ฟซุปกับขนมปังมันแล้วแต่ที่ว่าเขาจะมีขนมปังแบบไหน แล้วคำเรียกขนมปังโดยรวมนอกจากbread แล้วก็ยังมีคำว่า rollเนี่ยแหละ แต่คำว่าbunเขามักจะใช้กับขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์มากกว่า
ณ ตอนนั้นหัวสมองก็กระจ่างใส(หรือกลวง)ขึ้นมาทันใด ที่แท้เราก็หลงผิดคิดว่าเขาให้เรากลิ้งอยู่นาน ความจริงเขาถามเราว่าจะเอาขนมปังกินกับซุปหรือเปล่านี่เอง พี่สาวก็คงฮากับความเปิ่นผู้เขียนคะ เลยเอาไปเล่าให้รุ่นพี่คนนึงฟัง หัวเราะท้องแข็งกันไปทั้ง2คนกับจินตนาการการแปลคำศัพท์ของเรา ไม่เป็นไรคะ ผู้เขียนเองยังฮาตัวเองเลยว่าคิดไปได้ว่าเขาให้กลิ้ง แต่ตอนนั้นมึน นึกไม่ออกจริงๆว่าที่เขาพูดต้องการจะสื่อว่าอะไร
มีเรื่องเล่าความฮาและเปิ่นของผู้เขียนอีกเรื่องนึง เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำที่คนอังกฤษและคนสก๊อตใช้ไม่เหมือนกันคะ บอกให้เป็นการเกริ่นเล็กๆว่าเกี่ยวกับคำว่า “Tea” ที่แปลว่าน้ำชานั่นแหละคะ เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนในชั้นเรียนเดียวกัน เป็นชาวคาซัสสถานขอให้เราช่วยสอนโปรแกรมคอมจำพวก Photoshop อะไรทำนองนั้นให้หน่อย ผู้เขียนเองก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก ก็พอรู้ในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจบ้างเลยตอบตกลงไป ก็นัดเจอกันที่หอพักของเพื่อน ก็โอเคแหละคะเพราะว่าหอพักของเพื่อนคนนี้เป็นหอครอบครัวที่อยู่ในตัวมหาลัยเลย
ขอบคุณมากๆนะที่ช่วยอธิบาย ช่วยดูให้
ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวกลับหอพักก่อนนะ
กลับเลยหรอ อยู่ Have tea ก่อนไหม
อืม ก็ได้
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย3โมงเกือบ4โมงแล้ว ผู้เขียนก็คิดว่าเพื่อนพูดถึงนั่งจิบน้ำชา คุยกันเล่นๆเพลินๆไป ผู้เขียนก็เลยตอบตกลง แต่ก็เริ่มงงๆเมื่อเพื่อนของผู้เขียนวิ่งไปมา พูดอะไรกับสามีในครัวก็ไม่รู้ แล้วออกมาพร้อมกับขนมจำพวกขบเคี้ยวและช็อคโกแลตจานโต ตามด้วยน้ำชาร้อนแก้วนึง มันก็ฟังดูโอเคสำหรับเวลาน้ำชาแบบผู้ดีใช่ไหมคะ ต่อมาเพื่อนผู้เขียนก็วิ่งไปเอาน้ำผลไม้มาเสิร์ฟอีก เอ ไหนว่าเวลาน้ำชา ทำไมมีน้ำผลไม้ด้วย ไม่เป็นไร นิดหน่อยมั้ง ผู้เขียนกับเพื่อนก็นั่งคุยไปเรื่อยๆ อีกแป๊ปนึงเพื่อนผู้เขียนก็วิ่งเข้าครัวไปอีกแล้ว เอาละซิ นี่ทำไมเวลาน้ำชามันยุ่งยากกว่าที่คิดเนี่ย คราวนี้ก็เป็นแคร็กเกอร์ ขนมปังกรอบ มาพร้อมกับแยมพีชทำเองและเนย คือจากของกินเหล่านี้แล้วยังเรียกว่าอยู่ในเมนูน้ำชาอยู่นะคะ แต่ด้วยขนาดแล้วเนี่ย ทำให้ผู้เขียนอดสงสัยไม่ได้ เพราะแยมพีชเนี่ยไม่ได้ใส่มาเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ แต่เรียกเป็นโถจะเห็นภาพกว่า ผู้เขียนคิดว่าก็คงแค่นี้แหละ เพราะไม่น่าจะมีอะไรแล้ว เยอะแล้วเหมือนกัน ก็นั่งคุยกันไปตั้งแต่เรื่องการทำแยมเอง ทำอาหารเอง ประเทศเขาเป็นยังไง รายงานถึงไหนแล้ว เรื่อยเปื่อยตามภาษาสาวๆคุยเล่นกัน
เออ สามีเธอไม่ออกมานั่งคุยด้วยกันหรอ
อ้อ ไม่เป็นไรหรอก เขาโอเค เดี๋ยวขอตัวไปในครัวแป๊ปนึงนะ
ถ้าเธอไม่ว่างอยู่ ฉันค่อย.....
ผู้เขียนพูดไม่ทันจบเพื่อนก็วิ่งเข้าครัวไปเสียแล้ว ทีนี่ละคะ สิ่งไม่คาดคิดก็มาเป็นระลอก เริ่มจากเพื่อนออกมาพร้อมกับสลัดมันฝรั่งบดที่โรยหน้าด้วยชีสท่วมท้น ใช่คะ มันเริ่มไม่ใช่เมนูเวลาน้ำชาแล้ว แต่มันยังไม่จบแค่นี้คะ มันยังมีตามด้วยพริกหยวกยัดไส้มาอีก ผู้เขียนก็อึ้งคะ เขายกมาแล้วจะบอกว่าไม่กินก็ไม่ได้ พริกหยวกเป็นแบบต้มหรือตุ๋นจนเปื๋อยนิ่มแล้ว หวานมากด้วย ข้างในเป็นข้าวกับเนื้อ เราก็แกล้งเนียน กินไปคุยไป
อร่อยมากเลย ทำเองหรอ
ใช่ ฉันทำเองแหละ ของพวกนี้เราทำเองหมดเลย
ทำกับข้าวเก่งนะเนี่ย
ในใจผู้เขียนคิดว่านี่เป็นการใช้เวลาน้ำชาได้นานและอิ่มมากๆ ก็คุยกันไป เล่นกับลูกเขาไป ไม่รู้ว่าเราเล่นกับเขาหรือว่าลูกเขาเล่นกับผู้เขียนกันแน่ เพราะตอนนั้นผู้เขียนอิ่มจนรู้สึกว่าตัวเองจะกลายเป็นลูกบอลอยู่แล้ว ตบท้ายยังมีส้มหั่นมาให้ผู้เขียนทาน แล้วยังให้พกแอปเปิลกับช๊อคโกแลตกลับหอพักอีก ตอนกลับถึงหอพักเป็นเวลา5โมงกว่าๆได้ ซึ่งปกติเป็นเวลาที่ผู้เขียนจะต้องทำกับข้าวแล้วก็ทานข้าวเย็น แต่ผู้เขียนไม่มีแรงทำและไม่มีที่เหลือในท้องแล้ว
วันนี้กินอะไรละเรา
เออ กินเยอะมากๆเลยแหละ เป็นการกินน้ำชาที่อิ่มมาก คิดว่าจะไม่กินข้าวเย็นแล้ว อิ่มได้ถึงเช้าเลยตอนนี้
หมายความว่าไงเนี่ย กินน้ำชาแล้วอิ่มเหมือนกินข้าวเย็น งงไปหมดแล้ว
ไม่มีอะไร คือไปช่วยสอนคอมที่หอเพื่อนนิดหน่อย แล้วเขาก็เลยชวนกินน้ำชา แต่ไม่นึกว่าจะมาเป็นคอสอาหารเต็มสูตรอะ
เอ่อ พี่ว่าเราเจอคำว่า teaในความหมายของคนสก๊อตแล้วแหละ
หมายความว่าไงอะ
ก็คำว่า tea ของคนสก็อตเขาหมายถึงกิน dinner นะซิ
นั่นแหละคะ ผู้เขียนก็ได้คำตอบจากพี่สาวไปว่าเขาชวนกินข้าวเย็นกันแบบนี้ ถ้าเป็นเวลาน้ำชาเขาจะพูดว่า tea time แต่ถ้าคนสก๊อตพูดคำว่า teaเฉยๆเนี่ยให้คิดไว้ว่าเป็นทานข้าวเย็นคะ ที่ตลกคือคนที่ใช้คำนี้กับผู้เขียนไม่ใช่ชาวสก๊อตแต่เป็นคาซักสถาน สรุปว่าผู้เขียนก็ประหยัดค่าข้าวไปได้มื้อนึงและได้คำศัพท์ใหม่ประจำวันมาอีกคำด้วย
ส่วนคำอื่นๆก็จะมีคำว่า quid ที่ใช้แทนคำว่า pound ที่เป็นค่าเงินของอังกฤษ แต่ถ้าเราไม่พูดก็ไม่เป็นไร ไม่ได้สับสนอะไรมากคะ อีกอันรายการคริส ดีลิเวอร์รี่คงอธิบายไปเรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับเรื่องการเรียกเก็บเงิน คนไทยเราเรียก 2อย่าง ทั้งแบบอังกฤษและอเมริกันรวมกันนะคะ ก็ใช้แค่อันเดียวพอนะคะ บอกบริกรไปว่า “Can I have a bill please?” เท่านี้ก็พอแล้วคะ สำหรับใครที่จะไปเรียนสก๊อตแลนด์ไม่ต้องห่วงเรื่องฟังไม่รู้เรื่องเพราะคนที่ไปตอนแรกทุกคนก็มึนงง ไม่รู้เรื่องพอๆกันคะ บอกเขาไปเลยว่าพูดช้าๆหน่อยได้หรือเปล่าเราฟังไม่ทัน ถึงแม้เราจะฟังทันเราฟังซ้ำอีกรอบไว้จะดีกว่า พอผ่านไปสัก2-3สัปดาห์หูและสมองของเราก็จะเริ่มปรับสภาพได้แล้วก็เข้าใจมากขึ้นเองคะ พยายามตั้งสติเวลาฟังก็พอคะ
ขอเรื่องส่งท้ายบทนี้นิดนึง ผู้เขียนไปเที่ยวกับเพื่อน(ที่ไม่ได้เรียนอยู่ในสก๊อตแลนด์)ที่เมืองกลาสโกว การสื่อสารไม่เพียงท้าทายสำหรับเรา แต่มันเป็นการท้าทายสำหรับคนพื้นเมืองที่นั่นด้วยเช่นกัน เพราะผู้เขียนพยายามสื่อสารกับคนขับรถเมล์แล้วมึนกันทั้ง2ฝ่าย
“how can I go to Kevingroove Museum?”
“….say that again!”
“how can I go to Kevingroove Museum?” (แบบสะโลสุดๆพร้อมท่าชี้แผนที่ประกอบ)
“I don’t understand what’ve you said!”
“….. want to go to this” ชี้ที่แผนที่แล้วยื่นให้คนขับรถเมล์
“Oh! I see come with me and I will show you……”
แล้วคนขับรถเมล์ก็พาเราไปที่รถคันที่ไปพิพิทธภัฑณ์ ผู้เขียนฟังคนขับคนนั้นรู้เรื่องหมดทุกอย่างแต่ดูเหมือนว่าเราสำเนียงไม่ดีละมั้ง
ตลอดที่เธอคุยกับคนขับรถเมล์ ผมฟังคนขับรถเมล์ไม่ออกเลย ฟังออกแต่สิ่งที่คุณพูด
นี่เป็นคำพูดของเพื่อนต่างชาติที่ร่วมเดินทางด้วยกันในครั้งนั้น ผู้เขียนเลยไม่แน่ใจว่าระหว่างไทย-ลิช กับสก๊อต-ทิช เนี่ย อันไหนมันแย่กว่ากัน เอาเป็นว่าพยายามสื่อสาร ชี้ๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่องกันเองละคะ คนสก๊อตก็น้ำใจดีใช้ได้อยู่คะ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เด็กน้อยในเมืองผู้กล้า 3

บทที่ 2 รถยนต์ vs. สัญจรแบบบ้านๆ
ไปเรียนอังกฤษแล้วกัน ลูกจะได้ไม่ต้องขับรถ ขึ้นรถเมล์เอา
นี่เป็นคำพูดของพ่อผู้เขียนเอง ทีแรกผู้เขียนคิดว่ามันต้องลำบากแน่ที่จะต้องขึ้นรถเมล์ไปไหนมาไหน ไม่ใช่ว่าผู้เขียนไม่เคยขึ้นรถเมล์นะคะ เคยขึ้นบ่อยพอสมควร เลยทำให้เราคิดว่าในอังกฤษมันจะเหมือนกับรถเมล์ในเมืองไทยหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่เราก็ไม่อยากใช้รถเมล์เท่าไหร่ ทั้งควันรถ ทั้งเจอคนบ้า หรือเจอคนขโมย รถเมล์ขับเร็ว กระเป๋าตะหวาดใส่ ไหนยังจะหกล้มตอนลงจากรถอีก จะหาว่าผู้เขียนคุณหนูก็ได้นะคะ เพราะส่วนใหญ่แล้วชอบใช้รถไฟฟ้ากับติดรถคุณพ่อออกไปข้างนอกมากกว่าการใช้รถเมล์
ผู้เขียนบินจากกรุงเทพ ไปลงลอนดอน แล้วจากลอนดอนก็นั่งรถไฟไปหาพี่สาวที่เอดินบะระ พักได้สักประมาณสัปดาห์นึงก็นั่งรถไฟต่อมายังเมืองสเตอริง สำหรับคนที่จะเดินทางมาเที่ยวหรือมาเรียนที่เมืองนี้ ขอบอกว่าเมืองนี้ไม่มีสนามบินนะคะ แบบที่ใกล้ที่สุดคือต้องนั่งเครื่องบินจากไทยมาลงที่สนามบินเมืองข้างๆอย่างเอดินบะระกับกลาสโกวแล้วค่อยต่อด้วยรถไฟอีกที แต่ผู้เขียนไปเที่ยวที่ลอนดอนก่อนเลยลงที่สนามบินฮีทโทร แล้วค่อยเข้าต่อรถไฟมา จากลอนดอนที่รถราวิ่งเต็มท้องถนนไปหมด พอมาเมืองนี้รถน้อยมากคะ ผุ้คนในเมืองใช้รถเมล์เป็นส่วนใหญ่ จะมีแต่คนที่จะขับไปเมืองอื่นหรือข้ามเมืองเท่านั้นที่จะขับรถเก๋งหรือเช่ารถขับกัน ก็พอมีรถแท๊กซี่อยู่บ้างนะคะ แต่ก็ไม่ได้เยอะแบบกรุงเทพ คนที่ใช้ก็จะเป็นผู้สูงอายุ คนที่ขนของเยอะๆ แล้วก็นักท่องเที่ยว
รถเมล์ที่นี่ หมายถึงทั่วไปในเกาะอังกฤษแล้วจะมีหลายยี่ห้อ แล้วแต่ว่าแต่ละเมืองจะใช้ยี่ห้ออะไร ลักษณะของรถเมล์ที่นี่นั้นสะอาด คนทุกระดับใช้หมด ตั้งแต่ลูกเล็ก เด็กแดง พ่อแม่ ทั้งครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ นั่งรถเข็น คนเมา ผู้ชายใส่สูทเท่ย์ๆ ยันคนสก๊อตไปงานแต่งงาน ใส่กระโปรงสก๊อตก็ขึ้นรถเมล์กัน ที่บอกว่าคนพิการกับคนนั่งรถเข็นก็สามารถขึ้นได้เนี่ย พูดจริงๆนะคะ เพราะว่ารถมีระบนไฮโดรลิก ปรับให้ลดต่ำสูงได้ พอลดต่ำสำหรับคนแก่และเดินได้ไม่ถนัดอย่างเป็นโปลิโอ จนถึงคนที่บาดเจ็บต้องใช้ไม้ค้ำ ส่วนคนที่นั่งรถเข็นนั่นไม่ต้องกลัวเลย เขาจะลดต่ำลงบวกกับมีทางลาดพาดกับฟุตบาทให้รถเข็นขึ้นได้ง่ายอีกต่างหาก บ้านเราเนี่ยคนพิการขึ้นรถเมล์ไม่ได้เลยสักคัน เพราะมันเป็นบันไดปีนหมด ขนาดคนขาดีๆอย่างผู้เขียนยังจะล้มงับฟุตบาทไปหลายหนเลย รถเมล์ในเมืองนี้เป็นยี่ห้อ First โดยทั่วไปแล้วในอังกฤษนี้จะเป็นยี่ห้อนี้ แต่ที่เมืองเอดินบะระจะมี2ยี่ห้อ มีทั้งFirstและLothianให้เลือกใช้ รถFirstนี้จะเป็นทั้งพาหนะในไว้ใช้เดินทางในเมืองและใช้เดินทางไกลๆระหว่างเมืองด้วย แต่อยากแนะนำว่าให้ใช้รถยี่ห้อCity Linksไปเมืองต่างๆจะดีกว่าถ้าเกิดเมืองที่ไปศึกษาหรือเที่ยวเขามีนะคะ เพราะว่ายี่ห้อนี้จะเป็นรถตู้คันใหญ่ที่นั่งดีกว่าคะ ไม่เหมือนกับยี่ห้อที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นลักษณะของรถเมล์มากกว่า รถเมล์เกือบทุกสายในเมืองสเตอริงนี้ไปทางมหาลัยหมด ดังนั้นเด็กที่ไปเรียนที่นั่นไม่ต้องห่วงเรื่องขึ้นรถเมล์ผิด แต่ที่เราจะใช้ประจำก็มีU-link เป็นรถสีน้ำเงินๆที่เห็นปุ๊ปก็รู้ปั้ปว่าต้องไปมหาลัยแน่นอน สำหรับคนที่ใช้รถเมล์ทุกวันก็ซื้อเป็นบัตร4สัปดาห์ก็คุ้มอยู่คะ นอกจากบัตรเดือนแล้ว ก็จะมีเป็นบัตรเที่ยวเดียว(single ticket) แล้วก็บัตรไปกลับ(return ticket)ให้เลือกใช้แล้วแต่ว่าสะดวกอย่างไหน แล้วยิ่งถ้าเป็นนักศึกษา นักเรียนเมืองนี้เนี่ยต้องรีบใช้สิทธิ์นะคะ โชว์บัตรด้วยเพราะจะได้ขึ้นราคานักเรียน ประหยัดไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนคนแก่ในอังกฤษเนี่ยเขาจะมีบัตรของเขา ขึ้นรถเมล์ฟรีคะ
มาถึงรถไฟกันบ้าง พูดกันมาหลายหนเกี่ยวกับรถไฟแล้ว มาดูรายละเอียดกันบ้าง อันนี้ผู้เขียนขอบอกก่อนว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟในสก๊อตแลนด์นะคะ ดังนั้นผู้ที่ไปเรียนตรงแถบอังกฤษต้องเช็คอีกทีนึงเพราะบางอย่างอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ที่บอกเช่นนี้เพราะสก๊อตแลนด์เขาก็มีสภาของตัวเอง มีกฏหมายและระเบียบบางอย่างที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เรื่องรถไฟเนี่ยมันก็คิดตามระยะทาง แล้วก็ระดับความหรูของที่นั่ง เวลาเราซื้อตั๋ว ซื้อกับเจ้าหน้าที่ก็ได้ ตู้อัตโนมัตก็ได้ หรือจองผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ สองอย่างหลังเนี่ยก็ต้องพึ่งเครดิตหรือเดบิตการ์ดละคะ แล้วสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับเด็กนักเรียนนอกอย่างพวกเรา เวลาไปถึงมีบัตรนักศึกษาแล้วให้รีบไปสถานีรถไฟฟ้า ไปหาเจ้าหน้าที่ขายตั๋วนั่นแหละคะ แล้วบอกเขาว่าอยากสมัคร ยัง เลว การ์ด ผู้เขียนไม่ได้จะด่านะคะ มันชื่อนี้แหละ เพียงแต่ผู้เขียนหยอกเล่นกับสำเนียงคะ
อะไรคือ ยังเลวการ์ดอะพี่
บัตรแสนคุ้มไว้ลดราคาค่าตั๋วรถไฟไง มันชื่อว่า young rail card เรายังอายุไม่เกิน 25 ด้วย ไปทำเลย จ่ายค่าสมาชิกนิดหน่อย คุ้มนะ ยังไงเราก็จะใช้รถไฟบ่อยอยู่แล้ว
เป็นคำแนะนำจากพี่สาวของผู้เขียนเอง สำหรับคนที่อายุเกิน 25 แล้วไม่ต้องตกใจคะ สมัครได้เหมือนกัน ไปขอใบรับรองการเป็นนักศึกษาจากทางมหาลัยแล้วก็ยื่นใบนั้นให้กับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เขาก็จะให้บัตรแบบเดียวกันนี้มาเหมือนกัน พูดง่ายๆคือมันเหมือนเป็นบัตรลดตั๋วรถไฟ ซื้อได้ในราคานักศึกษานั่นแหละ จ่ายประมาณ30ปอนด์สำหรับค่าบัตร คิดเป็นเงินไทยก็1500บาท ฟังดูเหมือนแพง แต่ว่าเวลาเรานั่งรถไฟไกลๆได้ลดเยอะนะคะ เอาง่ายๆแค่นั่งจากเมืองเอดินบะระลงไปลอนดอนรอบเดียวก็คุ้มแล้วคะ หรือมีครั้งนึงที่ผู้เขียนไปเที่ยวยอร์ก นั่งจากเมืองเอดินบะระไปก็ลดได้ประมาณ20ปอนด์เลยนะคะ ประหยัดไปเยอะ แล้วยิ่งมีไปเที่ยวเมืองในสก๊อตแลนด์ด้วยกันอีกเนี่ยเหมือนกับเที่ยวเมืองอื่นแถมเมืองในสก็อตก็ว่าได้ อย่างตั๋วรถไฟแบบไปกลับ (return ticket)จากสเตอริงไปเอดินบะระเนี่ย แค่7ปอนด์เท่านั้น สภาพรถไฟก็นั่งสบายด้วยคะ เป็นโซฟาหมด แล้วก็จะมีโต๊ะ4ที่นั่งสำหรับคนมาเป็นกลุ่มบ้าง แล้วยิ่งตอนนี้ทางรัฐบาลอังกฤษขึ้นภาษีแล้วค่ารถโดยสารต่างๆก็ปรับขึ้นราคาเยอะพอสมควรด้วย เพราะฉะนั้นเค็มไว้ก่อนคะดี
ท่านผู้ปกครองอย่าเพิ่งกลุ้มใจกับผู้เขียนนะคะ ไม่ได้ชวนน้องๆหรือนักศึกษาเหลวไหลนะคะ แต่เผื่อจะต้องเดินทางไปซื้อของเมืองข้างๆหรือเที่ยวตอนช่วงวันหยุดก็จะได้ประหยัดเงินท่านผู้ปกครอบได้คะ การเดินทางโดยรถไฟในอังกฤษถือว่าเป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับคนที่นั่นเลยคะเพราะว่าไม่ได้แพงมากแล้วก็สะดวกด้วย แต่ละสถานีค่อนข้างจะจอดใจกลางเมืองต่างๆเลย ไปไหนต่อที่ไหนได้สะดวกสบาย รถก็หมั่นบำรุงรักษาอยู่เรื่อยๆ แม้กระทั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำก็ยังมีอยู่เลยคะ แต่จะไว้ใช้สำหรับเที่ยวในบางที่เท่านั้น แล้วก็ราคาตั๋วแพงมาก รถไฟหัวจักรไอน้ำในเรื่อง Harry Potterนั้นชื่อ The Jacobite คะ แต่เขาจะมีตารางเที่ยวของเขานะคะ แพงด้วย ผู้เขียนไม่กล้าขึ้นคะ ได้แต่มองกับถ่ายรูป
พี่ ในรถไฟวันนี้คนแน่นยังกับรถเมล์ในกรุงเทพแนะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
ทางที่มาเอดินบะระเนี่ยนะหรอ
ใช่ๆ
ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มีแข่งรักบี้หนะ
อันนี้เป็นอีกคำเตือนนึงที่อาจจะเจอได้เหมือนกัน คือผู้เขียนโชคดีที่ได้ที่นั่งคะ เพราะหลังจากนั้นจนถึงเอดินบะระแล้วเนี่ยคนขึ้นตลอดไม่มีการลงเลย แน่นมากเหมือนรถเมล์จริงๆ แล้วอีกกรณีนึงคืออาจจะเจอคนเพิ่งดูบอลเสร็จแล้วทีมที่เชียร์ท่าทางชนะด้วย เมาซิคะจะอะไร ร้องเพลง คุยกันเสียงดังเลยแหละ แต่ในกรณีแพ้เนี่ยผู้เขียนไม่เคยเจอ
ความจริงแล้วถนนหนทาง ฟุตบาทของที่เมืองก็ดีพอควร ไม่มีท่อเปิดค้างไว้ หรือมีหลุมบ่ออะไรให้เราสะดุดหน้าคว่ำเล่น ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะเห็นทั้งนักเรียนตัวน้อยและนักศึกษาเดินไปเรียนกัน อีกอย่างผู้เขียนว่ามันก็ดีต่อสุขภาพด้วยนะคะ เราก็เผื่อเวลา เดินได้เรื่อยๆ เมืองสเตอริงไม่ได้เป็นเมืองใหญ่อะไร เดินถึงกันได้หมด อากาศก็ไม่ร้อนมาก ไม่มีควันรถอย่างบ้านเราด้วย เด็กไทยที่มาเรียนที่นี่บางคนเขาก็เดินไปเรียนกันทุกวัน ประหยัดค่ารถได้ด้วย แต่คิดว่าไม่ต้องประหยัดกันมากจนต้องฝ่าหิมะกับฝ่าฝนตอนตกหนักก็ได้นะคะ ดูแลสุขภาพหน่อย
คนที่นี่เวลาอากาศดีเขาจะชอบออกไปเดินเล่น จ๊อกกิ้ง นั่งอ่านหนังสือที่สวน นอนกลางแดดกันเลยว่างั้น ปกติที่นี่จะอากาศหนาว แดดเลยถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชาวสก๊อต
ฉันอุตส่าห์ย้ายจากโรมาเนียมาสก๊อตแลนด์เพราะผิวฉันจะได้ไม่โดนทำร้าย แต่ดันไม่มีผู้หญิงบริสุทธิ์ให้ฉันดูดเลือด
อันนี้เป็นคำพูดของตลกคนนึงพูดเกี่ยวกับสก๊อตแลนด์ คนที่นี่บอกกับผู้เขียนว่าสก๊อตแลนด์แดดน้อยมาก พอมีหรืออุ่นนิดหน่อยเขาก็จะชอบไปนั่งกลางแดด อาบแดดกันนั่นแหละ จะว่าไปแล้วเท่าที่ผู้เขียนเห็นนั้นคนที่นี่วิ่งจ๊อกกิ้งกันเยอะมาก บางทีก็มาเดี่ยวบ้าง มาคู่บ้าง แล้วบางทีก็ได้เห็นมากันเป็นกลุ่ม ทำเอาผู้เขียนตกใจในบางครั้งนึกว่าเขามีแข่งไตรกีฬากัน พวกนี้ก็เก่งคะ ลมแรง ฝนตก หนาวยังไงก็ออกมาวิ่ง ยกเว้นช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะเท่านั้นที่ไม่วิ่ง นับถือคะนับถือ แค่ลมพัดก็ไม่วิ่งแล้วหละ จะว่าไปแล้วกระต่ายหน้าหอพักของผู้เขียนเองก็อึดพอๆกับคนเลย ออกมาเล็มหญ้า เอ้ย กินหญ้าที่สนามหน้าหอพักได้ทุกวัน ทุกสภาพอากาศก่อนเข้าโพรงในฤดูหนาว

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

lady in Brave Heart Land 2

บทที่ 1 เมืองผู้กล้า

เมืองBrave Heart หรือเมืองผู้กล้านี้ ชื่อจริงๆคือ Stirling เมืองเล็กๆในสก็อตแลนด์เมืองนี้ ห่างจากเมืองหลวงปัจจุบันของสก็อตแลนด์อย่างเอดินบะระ และเมืองอุตสาหกรรมอย่างกลาสโกวประมาณ1ชั่วโมงโดยรถไฟ ในสก๊อตแลนด์จะแบ่งแยกออกเป็น2ส่วนเรียกว่า Lowland กับ Highland สเตอริงนั้นเป็นเมืองกั้นระหว่างไฮแลนด์กับโลแลนด์เลยก็ว่าได้

เมืองเล็กๆแต่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่นั้นสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้พอสมควรเลยทีเดียว จากเรื่องBrave Heartแล้ว คงจะมองข้ามชื่อตัวเอกในหนังเรื่องนี้ไปไม่ได้ พระเอกของเรื่องนี้ชื่อว่า William Wallace ผู้กล้าแห่งสก๊อตแลนด์นั่นเอง เขาได้พยายามสู้กับกองทัพอังกฤษจนโดนจับได้และประหาร ส่วนต่างๆของร่างกายคุณวิลเลี่ยม วอร์เลส์นั้นได้ถูกส่งไปยังหัวเมืองต่างๆในอังกฤษ เพื่อปรามผู้ที่คิดก่อกบฏว่าจะต้องเจอชะตากรรมเดียวกันนี้ ถึงแม้ว่าความพยายามของเขาจะไม่สำเร็จทันตาเห็น แต่Robert the Bruceก็ได้กอบกู้อิสรภาพ สานต่อความตั้งใจของวิลเลียม วอร์เลส์จนสำเร็จ แล้วนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่สเตอริงเป็นเมืองหลวงเก่าของสก๊อตแลนด์ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเมืองเอดินบะระ

พูดถึงประวัติศาสตร์พอสมควรแล้ว เรามาดูกันบ้างว่าปัจจุบันเมืองเป็นยังไง สเตอริงเป็นเมืองเล็กๆที่สามารถเดินถึงกันได้หมด ถ้าเป็นคนไม่ได้รีบร้อนจะต้องไปทำธุระอะไร แต่บางที่อาจจะทำให้หอบกันได้บ้าง อย่างตัวปราสาทกับอนุสรณ์สถานนั้นอยู่บนเขา ไม่มีรถเมล์ไปส่ง จะมีก็แต่เรียกแท๊กซี่กับขับรถไปเท่านั้น ดังนั้นถ้าเดินก็เมื่อยกันนิดนึงละคะ คุณหนูที่เคยอยู่เมืองกรุงอย่างเราก็รู้สึกแปลกตาและไม่คุ้นชินที่เห็นทุกทิศมีแต่ต้นไม้ สวน สีเขียวๆ ไม่มีตึกสูงเลยสักตึก ในตัวเมืองนั้นมีห้างอยู่ห้างเดียว แต่เป็นอะไรที่แปลกตรงที่ห้างนี้มีPrimarkหรือแหล่งช๊อปของถูกด้วย สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวหรือเรียนอยู่ที่อังกฤษก็คงจะรู้ดีว่าPrimarkเป็นร้านที่พึ่งของทั้งคนต่างชาติทุนน้อยแบบเราๆ และคนพื้นเมืองที่อยากซื้อของถูก ขายตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า หมอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ยกเว้นแต่ของกินกับเครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้นที่ไม่มี ที่บอกว่าแปลกก็เพราะเมืองใหญ่อย่างเอดินบะระที่เป็นเมืองหลวงด้วยเนี่ยกลับไม่มีร้านนี้อยู่ กลับมามีร้านอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ซะงั้น เวลาไปเดินในร้านนี้ บางทีดูแล้วก็งงคะว่าเสื้อพวกนี้ถูกได้ขนาดนี้เลยหรอ อย่างเสื้อโค้ทสวยๆตัวนึงบางทีซื้อได้ในราคา25ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยคือ 1250บาท ถ้าดูตามร้านต่างๆในเมืองไทยแล้ว โค้ทดีๆสวยๆเนี่ย ราคาหลักพันต้นๆไม่ได้หรอกคะ แล้วไม่ใช่ห่วยๆนะคะ อยากบอกว่าผู้เขียนใช้คุ้มมาก ใส่บ่อยมาก เกือบทุกวันเป็นระยะเวลาปีนึงเต็มๆเนี่ยยังไม่ขาดเลย ดังนั้นใครที่จะไปเรียนที่สหราชอาณาจักรอังกฤษเตรียมพวกชุดชั้นใน เสื้อผ้าซับใน เสื้อยืด แล้วก็เสื้อแจ๊กเก็ตไปนิดหน่อยก็ได้คะ นอกนั้นถ้าหาร้านPrimarkเจอก็เข้าไปลุยได้เลยคะ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเลือกแล้วไม่ตรงกับไซด์เราเพราะเขามีห้องลองเสื้อเหมือนร้านขายเสื้อผ้าร้านอื่นๆแหละคะ ดังนั้นเลือกตามสบายเลย แต่สำหรับร้านPrimarkในลอนดอนแล้วอาจจะรอนานหน่อยเพราะคนเยอะมาก ส่วนสาขาในสเตอริงนี้สบายๆคะ

โรงหนังนั้นมีอยู่2แห่งให้เลือกคะ คืออันนึงที่อยู่ในเมืองกับอีกอันที่อยู่ในมหาวิทยาลัย โรงละครในเมืองจะมีหนังใหม่และมาเร็วกว่าโรงหนังที่อยู่ในมหาลัย แต่สำหรับคนที่เป็นแฟนตัวยงของหนังอินดี้ หรือแนวอาร์ตๆหน่อยแล้วละก็ คงถูกใจกับโรงหนังในมหาลัยมากกว่า บางครั้งโรงหนังในตัวมหาลัยนั้นจะมีโปรโมชั่นเช่น ถ้าเป็นนักเรียนลดให้เท่าไหร่

หรือดูหนัง4เรื่องในราคาพิเศษเป็นต้น เอนเตอร์เทนอื่นๆก็มีโรงละครที่เดินเลยตัวเมืองไปเล็กน้อย สนามกีฬา โดยเฉพาะสระว่ายน้ำระดับมาตรฐานโอลิมปิกในมหาลัยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีคนแวะมาใช้บริการอยู่เสมอ

มิน่าละ ทีมมหาลัยสเตอริงถึงได้เป็นแชมป์กีฬามหาลัยสก๊อตบ่อยๆ พี่สาวพูดหยอกๆเมื่อสำรวจมหาวิยาลัยไปพร้อมๆกับผู้เขียน
ก็ได้ข่าวว่า มหาลัยเอดินบะระเนี่ยติด1ในสิบทุกสาขายกเว้นกีฬาหนิผู้เขียนแอบหยอกกลับ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่อ่านจากThe Timeนะคะ

แหล่งซื้อของกินหรือซุปเปอร์ก็จะมีTescoกับ Sainsbury เป็นที่ที่ทั้งเด็กต่างชาติและคนพื้นที่ไปซื้อของตุนหรือทำกินกัน จะว่าไปแล้ววิถีชีวิตของคนที่นี่เขาก็ซื้อทำกินกันหรือซื้ออาหารแช่แข็งกันบ่อยๆข้อแรกคือ กินข้าวนอกบ้านตามร้านต่างๆค่อนข้างแพง ประการที่สองคือเวลาฤดูหนาวเนี่ยหนาวมาก เขาก็จะซื้ออาหารตุนไว้เผื่อออกจากบ้านไม่ไหว และประการสุดท้ายคือช่วงวันคริสมาสต์ทุกอย่างจะหยุดทำการหมด ทั้งรถไฟ ห้าง แล้วก็ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นตุนอย่างเดียวคะ ต้องตุนประมาณให้รอดได้3-4วันจะเป็นดีคะ ซุปเปอร์2ยี่ห้อนี้ เทสโก้อยู่ใกล้เมืองกว่า แต่เซนเบอร์รี่ค่อนข้างใหญ่กว่า ถ้าจะถามว่าที่ไหนมีของไทยหรือเครื่องปรุงแบบเอเชียมากกว่าแล้วละก็ พอกันคะ ถ้าใครอยากได้เครื่องปรุงเอเชียจริงๆแนะนำให้ลองไปซุปเปอร์แขกกันดู บางทีก็จะมีมะม่วงของแขก รสชาติใช้ได้ คล้ายกับบ้านเราอยู่ แล้วก็พอจะพึ่งพวกพริกกับเครื่องแกงได้นิดหน่อย แต่ทางที่ดีถ้าเกิดว่าเราคนไทยอยากได้เครื่องปรุงไทยๆจริงๆเนี่ยต้องไปซุปเปอร์จีนหรือไม่ก็ซุปเปอร์ไทย ข่าวร้ายคือทั้งสองอย่างนี้ไม่มีในเมืองผู้กล้านี้คะ ต้องไปซื้อที่เมืองเอดินบะระกับเมืองกลาสโกว ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างซินะ ได้ที่ช็อปปิ้งเสื้อถูกแต่ไม่มีซุปเปอร์ไทยให้ ซุปเปอร์จีนที่เมืองกลาสโกวใหญ่กว่าที่เมืองเอดินบะระ แล้วก็ไปง่ายด้วยเพราะว่าพอนั่งรถไฟไปลงที่เมืองปุ๊ป ก็เดินไปที่ซุปเปอร์จีนนี้ได้เลย ไม่ต้องหารถเมล์ไปต่อแต่อย่างใด ส่วนที่เมืองเอดินบะระมีซุปเปอร์จีนประมาณ3ที่ ซุปเปอร์ไทยอีก2ที่ ก็แล้วสะดวกแต่ละท่านก็แล้วกันคะ

เรื่องของกิน เดี๋ยวจะมีบรรยายวีรกรรมของผู้เขียนให้ฟังต่อไปว่าทำอะไรบ้าง บางอย่างก็อ่านขำๆนะคะ บางอย่างก็คิดว่าน่าจะเอาไปใช้ได้บ้างคะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

tons to tell

เริ่มจากอะไรก่อนดีละคะ คืออ่านจบไปหลาบเรื่องเหมือนกัน เอาเป็นเริ่มจากหนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่เราได้อ่านเป็นภาษาอังกฤษ เอ๊ะ งงไหมคะ ความจริงก็มีเขียนเป็นภาษาไทยด้วยแหละคะ แต่บังเอิญได้ยืมจากคุณป้าที่รักมา เลยได้อ่านเป็นภาษาอังกฤษ แหม เกริ่นมาเนิ่นนาน บอกเลยแล้วกันว่าชื่อเรื่อง Lords of Life หรือชื่อภาษาไทยคือ "เจ้าชีวิต" นั่นเอง เขียนโดย Prince Chula Chakrabongse ท่านเขียนได้ลื่นไหลมาก เป็นหนังสือประวัติศาสตร์เล่มแรกที่เราอ่านแล้วติด วางไม่ลง รู้สึกเหมือนอ่านนิยายยังไง ยังนั้นเลยทีเดียว อีกอย่างนึงที่ชอบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนึ้คือ ท่านผู้เขียนได้ทำการค้นคว้าข้อมูลไม่ใช่จากทางคลังความรู้ของคนในประเทศเท่านั้น แต่ยังได้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมจากจดหมายของชาวต่างชาติ รวมทั้งเอาความเห็นเชิงวิเคราะห์เรื่องประวัติศาสตร์ไทยจากคนอื่น ยกมาให้เราได้เห็นกันอีกด้วย นอกจากนั้นที่ทำให้เป็นสิ่งพิเศษมากก็คงหนีไม่พ้นประสบการณ์ของท่านผู้เขียนนั่นเอง

ต่อจากหนังสือเล่มนี้ก็มาพูดถึงหนังสือไทย และเขียนเป็นภาษาไทยกันบ้าง เรื่อง "มณีแดนสรวง" โดย คุณพงศกร เป็นหนังสือรวมเล่มจากทางสำนักพิมพ์พลอยแกมเพชร แนวแฟนตาซี รัก โรแมนติก คอมเมอร์ดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับนางฟ้าน้อยที่ซุกซน(ปนแอบหวังดี) พยายามไปแก้ไขชะตามนุษย์โลก ซึ่งเป็นการแหกกฎสวรรค์อย่างแรง บิดาของนางฟ้าน้องจึงได้ลงโทษให้ตนและเพื่อนเทวดาหนุ่มลงมาบนโลกมนุษย์ โดยที่ตนเองมีสภาพเหมือนมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีเวทมนต์แต่อย่างไร เรื่องใสๆน่ารักๆ ทำให้อ่านไปอมยิ้มไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากเรื่องราวรักๆ ความวุ่นวายมากมายระหว่าง มนุษย์กับนางฟ้า นางฟ้ากับพยามาร พยามารกับมนุษย์ที่ให้คนอ่านลุ้นกันตัวโก่งแล้ว ผู้เขียน คุณพงศกรยังได้สอดแทรกเรื่อง "ไตรภูมิพระร่วง" หรือ "ไตรภูมิกถา"ไว้ให้ผู้อ่านได้รำลึกถึงตอนเรียนชั้นมัธยมกันด้วย สำหรับเราแล้วแอบคิดว่าช่วงที่บรรยายเรื่องไตรภูมิพระร่วงในบางช่วงยาวไปนิดนึง (ตอนนี้คนอ่านคงงงเราแล้วละซิว่า อ่านเล่มแรก กับเล่มนี้เนี่ยคนละแนว สุดขั้วมากๆ)

เล่มต่อมาเป็นภาษอังกฤษอีกแล้วละ เป็นหนังสือที่รวมงานเขียนเรื่องสั้นของนักเขียนชาวสก๊อตชื่อดังไว้ถึงสามคนด้วยกัน (อเล็กซานเดอร์ แมคคอสมิต, เอียน แลงคิน, ไอริน เวช) ส่วนคำนำก็ได้นักเขียนดังก้องโลกอย่าง เจ เค โรลิง มาเขียนให้ หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นโดยโครงการThe ONECITY Trust เป็นกึ่งมูลนิธิช่วยเหลือและพัฒนาสังคม สภาพแวดล้อมในเมืองเอดินบะระ ประเทศสก๊อตแลนด์ จุดประสงค์ต้องการลดอาชญกรรมและประสานใจคนให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อทำให้เมืองเป็นเมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ช่างเป็นโครงการที่อ่านจุดประสงค์แล้วน้ำตาคลอเบ้าจริงๆ ไม่แน่ใจว่าจะมีหนังสือเล่มนี้ขายในเมืองไทยที่ร้านไหนหรือเปล่า หากผู้ใดเจอว่าขายที่ไหน ยังไงก็บอกกันบ้าง เผื่อคนอื่นจะได้ไปลองอ่านกันนะคะ คือ3นักเขียนดังนี้ เขียนแนวๆสีบสวน ลึกลับ อะไรทำนองนั้น แต่สำนวนต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าเกิดมีขายก็เป็นโอกาสดีของเราที่จะไปลองซื้ออ่าน เพื่อลองเช็คดูก่อนว่าแนวเขียนของนักเขียนคนไหนที่เราคิดว่าเราชอบ แล้วค่อยไปตามซื้อนิยายเขาได้
ตอนนี้ขอพักไว้แค่3เล่มก่อนแล้วกันคะ ส่วนมีเรื่องเล่าอื่นๆ หนังสือใหม่ที่เพิ่งอ่านจบไปนั้น ขอยกมาเล่าเป็นครั้งถัดไป มีใครอยากแนะนำหนังสือแนวไหนก็บอกมาได้นะคะ อยากลองอ่านหลายๆแนวอยู่แล้ว
ไว้เจอกันเมื่อหนังสือเมื่อหนอนหนังสือกินหมดเล่มหน้านะคะ

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประสบการณ์เมืองผู้กล้า


คุณหนูในเมืองผู้กล้า

หนูไปเรียนโทที่ไหนหรอ
ไปเรียนที่เมืองสเตอริง สก็อตแลนด์คะ
หรอ.... แล้วต้องไปเรียนภาษาสก็อตไหม
ไม่คะ สก็อตแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษคะ
นี่เป็นคำถามหนึ่งที่เรามักได้รับเวลาบอกผู้อื่นว่าเราไปเรียนที่สก็อตแลนด์ ในยุคก่อนหน้าที่เด็กไทยจะนิยมไปเรียนอังกฤษนั้น สก็อตแลนด์ถือว่าไม่อยู่ในแผนที่โลกเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความสำคัญ เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง แล้วยิ่งคำท้ายเป็นคำว่า แลนด์ ที่แปลว่าแผ่นดิน หรือประเทศแล้ว ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ทำให้คนฟังครั้งแรกคิดไปว่าเป็นประเทศนึงสักประเทศ อาจจะเป็นในแถบยุโรปสักแห่ง แต่สำหรับคนไทยที่รู้จักสก็อตแลนด์แล้วก็จะเป็นอีกแบบนึง
สก็อตแลนด์หรอ ไม่ใช่อังกฤษหนิ (บางคนหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ)
คะ เขาไม่ใช่อังกฤษ แต่เป็นคนประเทศเดียวกัน
อันนี้เจอหลายคนเหมือนกันที่หัวเราะว่าเราจะไปเรียนที่นั่นแล้วยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีก มันก็เลยทำให้ผู้เขียนลำบากใจพอดูว่าจะต้องพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆดี เวลาที่คนอื่นเขามาถามถึงเมืองที่เราไปเรียนต่อปริญญาโท ผู้เขียนคิดว่าสาเหตุของความสับสนอันนี้เนื่องมาจากการที่คนไทยเรียกสหราชอาณาจักรอังกฤษแบบย่อๆสั้นๆว่า ประเทศอังกฤษ หรือบางคนก็พูดแต่คำว่า อังกฤษ อย่างเดียว ถ้าเราแปลตามศัพท์แล้วเราจะรู้ทันทีว่าในเกาะนี้รวบรวมรัฐคล้ายกับอเมริกา แต่ในนี้มีแค่4รัฐ หรือ4ชนชาติใหญ่ๆคือ อังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์และไอแลนด์เหนือ โดยที่ไอแลนด์เหนือคนคงไม่ค่อยสับสนถ้าดูแผนที่เพราะเป็นเกาะข้างๆเกาะอังกฤษที่มีรูปร่างใหญ่กว่า แล้วในเกาะใหญ่กว่าเนี่ยแหละที่น่าสับสนยิ่งแก่การอธิบาย ตัวอังกฤษเองจะอยู่โซนตรงกลางเกาะ เวลส์จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนสก็อตแลนด์นั้นจะอยู่ทางเหนือ ถ้าคนไม่รู้ก็อธิบายกันยาว ส่วนคนที่รู้เวลาพูดก็พูดสั้นๆ เลยเหมือนเราไม่รู้อีก มึนกันไป แล้วทีนี้พอคนรู้ว่าสก็อตแลนด์อยู่ไหน ก็จะไม่รู้จักเมืองที่ชื่อว่าสเตอริงคะ คนไทยส่วนใหญ่มักจะรู้จักเอดินบะระกับกลาสโกวมากกว่า
ไปเรียนเมืองไหนหรอ กลาสโกวหรือเอดินบะระ
อ้อ ไม่ใช่คะ เมืองชื่อสเตอริง
วิธีแก้ปัญหาอาการงงงวงให้ผู้ที่ถามคือ
เมือง brave heart นะคะ
เป็นอะไรที่ใช้ได้ผลมากคะ เพราะหนังเรื่องนี้มันดัง ถึงแม้ว่าสถานที่ถ่ายทำไม่ได้ใช้ที่เมืองนี้เลยก็ตาม จะว่าไปแล้วตลอดการสนทนาเรื่องนี้เนี่ย คนอื่นจะเข้าใจผู้เขียนต่อเมื่อประโยคหลังสุดนี่แหละ เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆที่ทำให้ผู้เขียนอยากเล่าเรื่องเมืองนี้เล็กๆน้อยๆ ประกอบกับการไปเรียนเมืองนี้ในฐานะเด็กต่างชาติคนนึงว่าเป็นอย่างไร

ไว้จะแปลเป็นอังกฤษ แล้วก็ตอนถัดไปจะมาเร็วๆนี้นะคะ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความจริงอันน่าเกลียดกับข้อกฎหมาย

ไปนั่งเล่นในสตาร์บั๊ค เลยได้หยิบนิตยสารฟรี 24 7 มาอ่านดู ก้เจอบทความเกี่ยวกับเรื่องนักเขียนไทยกว่า300คนลงนามในจดหมายเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายมาตรา112 หรือเป็นที่รู้จักกันชื่อสั้นๆว่า "กฎหมายหมิ่น" เราเลยกลับมาค้นเพิ่มเติมว่าตัวกฎหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง ลองหาอ่านกันได้โดยsearch google หรือลองย่อๆทางเวปนี้ดูนะคะ http://www.kodmhai.com/m2/m2-2/m2-107-112.html

ทางผู้เขียนtumtumแห่งนิตยสาร24 7 ตั้งคำถามและให้ข้อคิดไว้ดีมาก โดยถามว่าการทำแบบนี้"เพื่ออะไร" และข้อคิดคือ ถ้าหากคนเราเรียกร้องสิทธิ์จากผู้อื่นแล้ว หรืออะไรที่มีผลกระทบโดยรวม ต่อผู้อื่น ก็ควรที่จะชี้แจงและให้คำอธิบาย เหตุผล ให้ชัดเจนออกมา เพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ รวมทั้งต้องเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นผู้อื่นอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งที่คนอื่นเห็นต้วยหรือไม่ก็ตาม เข้าใจหรือไม่ก็ตาม


สำหรับใครที่เคยดูหนังเรื่องหนึ่งที่พระเอกเล่นโดย หนุ่ม(ใหญ่)ชาวสก็อต อาจจะพอเข้าใจในสิ่งที่เราจะพูดต่อไปนี้นั่นก็คือ ความจริงบางทีก็เป็นสิ่งน่าเกลียดเหมือนกัน (Ugly Truth) ส่วนตัวแล้ว เข้าใจทั้งทางด้านคนที่อยากให้ยกเลิก และคนที่ไม่อยากให้ยกเลิก ข้อดึของการยกเลิกคือเรามีสิทธิเสรีภาพเพิ่มขึ้น แต่ข้อเสียคือชื่อเสียง และชื่อเสีย ทั้งๆที่เป็นเรื่องจริงหรือไม่จะออกมาได้ง่ายขึ้น คล้ายๆกับการเขียนวิจารย์ดาราแบบแรงๆในสมัยนี้ ที่ดูนับวันจะน่ากลัว แค่อ่านผ่านๆก็รู้สึกว่าเลือกซิบออกมาทันตากันเลยทีเดียว ลองคิดเล่นๆแล้วกันนะคะ คือเรื่องจริงบางเรื่องไม่มันอาจจะน่าเกลียด แต่มันก็เป็นความจริงที่คนทั่วไปควรได้รับรู้ไว้บ้าง แต่เรื่องจริงบางเรื่องถึงแม้ว่ามันจะน่าเกลียด ไม่ต้องเอามาประกาศคนก็รับรู้กันได้อยู่ดี ไม่จำเป้นต้องเอาออกมาเผยแพร่ให้เสียชื่อเสียงไปกว่าเดิม

สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนลองคิดดีๆ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพราะความจริงอันน่าเกลียดนี้มันจะปรากฎต่อสายตาผู้อื่นไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเราทำตัวไม่ดีเอาไว้ แล้วก็อยากให้ทุกคนใช้เหตุผลในการคิด ตัดสินใจ และกระทำทุกอย่าง อย่างมีสติที่สุด อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่นะคะ

ปล.ขอย้ำสักล้านที ณ ที่นี้ว่า ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าข้างคนที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับกฎหมายข้อนี้แต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ทุกคนนั่งนึกตรึตรองกับเรื่องราวต่างๆสักนิดนึง

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

What's too good?????

While I am hunting for job, another book on my shelf was read and finished by me. This one written by Simon Mawer called ''The Gospel of Judas''.  There are a lot of discussion and objects, professions suspect they are propachy and gospel of Judas. For those who read Dan Brown's stories might interest to try like me. In my opinion, this did not impress me much.The story start exciting after middle of book.

What I'm thinking while I read this book is. A person who everyone complain he or she is bad, they could all give million and million of reasons why they hate or think these people is bad. Have anyone experience other complain that you are too good? I'm that person. In my life, there are 2 or 3 persons I know told that I am too good! Of course, they did not give any reason for me, what the word 'too good' mean?. So I have no idea how to improve or change myself. Some of my friend said they are just a bunch of people who felt bad when they spent time with me. They felt guilty when they talk to me. To be honest, be too bad or just bad, you can get some advice and improve yourselves (if you open and ready to do it), but for being too good, I'm not quite sure which direction or where I can get an advice.

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Book I read

สวัสดีทุกท่าน นี่เป็นบทความแรกของการใช้บล็อคเกอร์คะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วกัน


เราเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง "โชคลาง" เขียนโดย อิสสร์คะ ถามว่าผู้เขียนเชื่อเรื่องโชคลางหรือเปล่า ก็เชื่อบ้างนะคะ เช่นไม่ใช่ชุดสีดำไปงานมงคล แต่ไม่ถึงขั้นเห็นแมวดำจะต้องรีบไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นตอนๆ เรื่องๆ เล่าถึงความเชื่อเรื่องโชคลางต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของทางตะวันตก(อังกฤษและประเทศแถบยุโรป)ที่มีเปรียบเทียบความเชื่อทางเอเชียบ้างเป็นครั้งคราว

คุณอิสสร์ได้นำเสนอเรื่องราวโชคลางในเรื่องให้ความรู้ความเข้าใจความคิดของคนยุคก่อน ประกอบกับวัฒนธรรมที่สืบเนื่องจนปัจจุบัน ไม่ได้เชิญชวนให้เชื่อแต่อย่างใด อ่านเอาความรู้ความบันเทิงเป็นที่ตั้งมากกว่า ถือว่าเป็นหนังสืออ่านเล่น อ่านยามว่าง ยามรอตัวแห้งเวลาว่ายน้ำเสร็จ รอหวานใจที่มาช้าไปเป็นชั่วโมง รออาหารที่ต้องไปวัตถุดิบจากต้นกำเนิดได้อย่างดี เพราะเขียนเป็นเรื่องๆตอนๆไป อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ หรือใครที่อ่านค้างไว้แล้วไปทำธุระอื่นก็กลับมาอ่านได้อย่างง่าย ไม่ต้องย้อนอ่านเนื้อหาด้านหน้าให้เบื่อหน่ายเหมือนกับนิยาย เรื่องยาวทั่วไป

สิ่งที่เราชอบเป็นที่สุดคงจะเป็นเรื่องความเชื่อในเรือ เราว่ามันน่าขันตรงความบังเอิ๊ญบังเอิญของเรือลำนึงที่มีกัปตันฉายาว่า Captain Death มีลูกเรือคนนึงชื่อ Devil แพทย์ประจำเรือชื่อGhost ประกอบกับเรือลำนี้ต้องออกจากท่าเรือที่ชื่อว่าExecution Dock ที่แปลว่าลานสำเร็จโทษอีกต่างหาก โอ้โห อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนั้น เราเองไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องตั้งใจหรอกคะ เพราะใครๆเขาก็อยากได้ชื่อที่เป็นมงคลต่อการเดินทาง ทำกิจการต่างๆอยู่แล้วจริงไหมคะ ถึงแม้จะเป็นในยามรบก็ตาม เราว่ามันก็ไม่ควรที่จะออกจากท่าเรือลานสำเร็จโทษนะ ก็คงไม่ต้องเดากันว่าชะตาของเรือลำนี้เป็นอย่างไรละนะคะ

เท่าที่อ่านมา ส่วนใหญ่แล้วความเชื่อจะมาจากยุคกลาง ยุคมืดของทางยุโรป โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ ตอนที่เราไปเรียนอยู่ที่เกาะอังกฤษเนี่ย ไปเที่ยวไหนก็มีแต่ทัวร์ผี แต่บรรยากาศก็ให้อยู่นะคะ ตึกเก่าๆ แต่เราเป็นคนกลัวผีพอสมควร ไม่อยากทัวร์แบบนี้หรอกคะ

ลองหาอ่านกันได้คะ หนังสือรวมเรื่องจาก"พลอยแกมเพชร"

เจอกันครั้งหน้า อาจจะเป็นภาษาอังกฤษบ้างนะคะ