บทที่ 2 รถยนต์ vs. สัญจรแบบบ้านๆ
“ไปเรียนอังกฤษแล้วกัน ลูกจะได้ไม่ต้องขับรถ ขึ้นรถเมล์เอา”
นี่เป็นคำพูดของพ่อผู้เขียนเอง ทีแรกผู้เขียนคิดว่ามันต้องลำบากแน่ที่จะต้องขึ้นรถเมล์ไปไหนมาไหน ไม่ใช่ว่าผู้เขียนไม่เคยขึ้นรถเมล์นะคะ เคยขึ้นบ่อยพอสมควร เลยทำให้เราคิดว่าในอังกฤษมันจะเหมือนกับรถเมล์ในเมืองไทยหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่เราก็ไม่อยากใช้รถเมล์เท่าไหร่ ทั้งควันรถ ทั้งเจอคนบ้า หรือเจอคนขโมย รถเมล์ขับเร็ว กระเป๋าตะหวาดใส่ ไหนยังจะหกล้มตอนลงจากรถอีก จะหาว่าผู้เขียนคุณหนูก็ได้นะคะ เพราะส่วนใหญ่แล้วชอบใช้รถไฟฟ้ากับติดรถคุณพ่อออกไปข้างนอกมากกว่าการใช้รถเมล์
ผู้เขียนบินจากกรุงเทพ ไปลงลอนดอน แล้วจากลอนดอนก็นั่งรถไฟไปหาพี่สาวที่เอดินบะระ พักได้สักประมาณสัปดาห์นึงก็นั่งรถไฟต่อมายังเมืองสเตอริง สำหรับคนที่จะเดินทางมาเที่ยวหรือมาเรียนที่เมืองนี้ ขอบอกว่าเมืองนี้ไม่มีสนามบินนะคะ แบบที่ใกล้ที่สุดคือต้องนั่งเครื่องบินจากไทยมาลงที่สนามบินเมืองข้างๆอย่างเอดินบะระกับกลาสโกวแล้วค่อยต่อด้วยรถไฟอีกที แต่ผู้เขียนไปเที่ยวที่ลอนดอนก่อนเลยลงที่สนามบินฮีทโทร แล้วค่อยเข้าต่อรถไฟมา จากลอนดอนที่รถราวิ่งเต็มท้องถนนไปหมด พอมาเมืองนี้รถน้อยมากคะ ผุ้คนในเมืองใช้รถเมล์เป็นส่วนใหญ่ จะมีแต่คนที่จะขับไปเมืองอื่นหรือข้ามเมืองเท่านั้นที่จะขับรถเก๋งหรือเช่ารถขับกัน ก็พอมีรถแท๊กซี่อยู่บ้างนะคะ แต่ก็ไม่ได้เยอะแบบกรุงเทพ คนที่ใช้ก็จะเป็นผู้สูงอายุ คนที่ขนของเยอะๆ แล้วก็นักท่องเที่ยว
รถเมล์ที่นี่ หมายถึงทั่วไปในเกาะอังกฤษแล้วจะมีหลายยี่ห้อ แล้วแต่ว่าแต่ละเมืองจะใช้ยี่ห้ออะไร ลักษณะของรถเมล์ที่นี่นั้นสะอาด คนทุกระดับใช้หมด ตั้งแต่ลูกเล็ก เด็กแดง พ่อแม่ ทั้งครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ นั่งรถเข็น คนเมา ผู้ชายใส่สูทเท่ย์ๆ ยันคนสก๊อตไปงานแต่งงาน ใส่กระโปรงสก๊อตก็ขึ้นรถเมล์กัน ที่บอกว่าคนพิการกับคนนั่งรถเข็นก็สามารถขึ้นได้เนี่ย พูดจริงๆนะคะ เพราะว่ารถมีระบนไฮโดรลิก ปรับให้ลดต่ำสูงได้ พอลดต่ำสำหรับคนแก่และเดินได้ไม่ถนัดอย่างเป็นโปลิโอ จนถึงคนที่บาดเจ็บต้องใช้ไม้ค้ำ ส่วนคนที่นั่งรถเข็นนั่นไม่ต้องกลัวเลย เขาจะลดต่ำลงบวกกับมีทางลาดพาดกับฟุตบาทให้รถเข็นขึ้นได้ง่ายอีกต่างหาก บ้านเราเนี่ยคนพิการขึ้นรถเมล์ไม่ได้เลยสักคัน เพราะมันเป็นบันไดปีนหมด ขนาดคนขาดีๆอย่างผู้เขียนยังจะล้มงับฟุตบาทไปหลายหนเลย รถเมล์ในเมืองนี้เป็นยี่ห้อ First โดยทั่วไปแล้วในอังกฤษนี้จะเป็นยี่ห้อนี้ แต่ที่เมืองเอดินบะระจะมี2ยี่ห้อ มีทั้งFirstและLothianให้เลือกใช้ รถFirstนี้จะเป็นทั้งพาหนะในไว้ใช้เดินทางในเมืองและใช้เดินทางไกลๆระหว่างเมืองด้วย แต่อยากแนะนำว่าให้ใช้รถยี่ห้อCity Linksไปเมืองต่างๆจะดีกว่าถ้าเกิดเมืองที่ไปศึกษาหรือเที่ยวเขามีนะคะ เพราะว่ายี่ห้อนี้จะเป็นรถตู้คันใหญ่ที่นั่งดีกว่าคะ ไม่เหมือนกับยี่ห้อที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นลักษณะของรถเมล์มากกว่า รถเมล์เกือบทุกสายในเมืองสเตอริงนี้ไปทางมหาลัยหมด ดังนั้นเด็กที่ไปเรียนที่นั่นไม่ต้องห่วงเรื่องขึ้นรถเมล์ผิด แต่ที่เราจะใช้ประจำก็มีU-link เป็นรถสีน้ำเงินๆที่เห็นปุ๊ปก็รู้ปั้ปว่าต้องไปมหาลัยแน่นอน สำหรับคนที่ใช้รถเมล์ทุกวันก็ซื้อเป็นบัตร4สัปดาห์ก็คุ้มอยู่คะ นอกจากบัตรเดือนแล้ว ก็จะมีเป็นบัตรเที่ยวเดียว(single ticket) แล้วก็บัตรไปกลับ(return ticket)ให้เลือกใช้แล้วแต่ว่าสะดวกอย่างไหน แล้วยิ่งถ้าเป็นนักศึกษา นักเรียนเมืองนี้เนี่ยต้องรีบใช้สิทธิ์นะคะ โชว์บัตรด้วยเพราะจะได้ขึ้นราคานักเรียน ประหยัดไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนคนแก่ในอังกฤษเนี่ยเขาจะมีบัตรของเขา ขึ้นรถเมล์ฟรีคะ
มาถึงรถไฟกันบ้าง พูดกันมาหลายหนเกี่ยวกับรถไฟแล้ว มาดูรายละเอียดกันบ้าง อันนี้ผู้เขียนขอบอกก่อนว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟในสก๊อตแลนด์นะคะ ดังนั้นผู้ที่ไปเรียนตรงแถบอังกฤษต้องเช็คอีกทีนึงเพราะบางอย่างอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ที่บอกเช่นนี้เพราะสก๊อตแลนด์เขาก็มีสภาของตัวเอง มีกฏหมายและระเบียบบางอย่างที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เรื่องรถไฟเนี่ยมันก็คิดตามระยะทาง แล้วก็ระดับความหรูของที่นั่ง เวลาเราซื้อตั๋ว ซื้อกับเจ้าหน้าที่ก็ได้ ตู้อัตโนมัตก็ได้ หรือจองผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ สองอย่างหลังเนี่ยก็ต้องพึ่งเครดิตหรือเดบิตการ์ดละคะ แล้วสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับเด็กนักเรียนนอกอย่างพวกเรา เวลาไปถึงมีบัตรนักศึกษาแล้วให้รีบไปสถานีรถไฟฟ้า ไปหาเจ้าหน้าที่ขายตั๋วนั่นแหละคะ แล้วบอกเขาว่าอยากสมัคร ยัง เลว การ์ด ผู้เขียนไม่ได้จะด่านะคะ มันชื่อนี้แหละ เพียงแต่ผู้เขียนหยอกเล่นกับสำเนียงคะ
“อะไรคือ ยังเลวการ์ดอะพี่”
“บัตรแสนคุ้มไว้ลดราคาค่าตั๋วรถไฟไง มันชื่อว่า young rail card เรายังอายุไม่เกิน 25 ด้วย ไปทำเลย จ่ายค่าสมาชิกนิดหน่อย คุ้มนะ ยังไงเราก็จะใช้รถไฟบ่อยอยู่แล้ว”
เป็นคำแนะนำจากพี่สาวของผู้เขียนเอง สำหรับคนที่อายุเกิน 25 แล้วไม่ต้องตกใจคะ สมัครได้เหมือนกัน ไปขอใบรับรองการเป็นนักศึกษาจากทางมหาลัยแล้วก็ยื่นใบนั้นให้กับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เขาก็จะให้บัตรแบบเดียวกันนี้มาเหมือนกัน พูดง่ายๆคือมันเหมือนเป็นบัตรลดตั๋วรถไฟ ซื้อได้ในราคานักศึกษานั่นแหละ จ่ายประมาณ30ปอนด์สำหรับค่าบัตร คิดเป็นเงินไทยก็1500บาท ฟังดูเหมือนแพง แต่ว่าเวลาเรานั่งรถไฟไกลๆได้ลดเยอะนะคะ เอาง่ายๆแค่นั่งจากเมืองเอดินบะระลงไปลอนดอนรอบเดียวก็คุ้มแล้วคะ หรือมีครั้งนึงที่ผู้เขียนไปเที่ยวยอร์ก นั่งจากเมืองเอดินบะระไปก็ลดได้ประมาณ20ปอนด์เลยนะคะ ประหยัดไปเยอะ แล้วยิ่งมีไปเที่ยวเมืองในสก๊อตแลนด์ด้วยกันอีกเนี่ยเหมือนกับเที่ยวเมืองอื่นแถมเมืองในสก็อตก็ว่าได้ อย่างตั๋วรถไฟแบบไปกลับ (return ticket)จากสเตอริงไปเอดินบะระเนี่ย แค่7ปอนด์เท่านั้น สภาพรถไฟก็นั่งสบายด้วยคะ เป็นโซฟาหมด แล้วก็จะมีโต๊ะ4ที่นั่งสำหรับคนมาเป็นกลุ่มบ้าง แล้วยิ่งตอนนี้ทางรัฐบาลอังกฤษขึ้นภาษีแล้วค่ารถโดยสารต่างๆก็ปรับขึ้นราคาเยอะพอสมควรด้วย เพราะฉะนั้นเค็มไว้ก่อนคะดี
ท่านผู้ปกครองอย่าเพิ่งกลุ้มใจกับผู้เขียนนะคะ ไม่ได้ชวนน้องๆหรือนักศึกษาเหลวไหลนะคะ แต่เผื่อจะต้องเดินทางไปซื้อของเมืองข้างๆหรือเที่ยวตอนช่วงวันหยุดก็จะได้ประหยัดเงินท่านผู้ปกครอบได้คะ การเดินทางโดยรถไฟในอังกฤษถือว่าเป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับคนที่นั่นเลยคะเพราะว่าไม่ได้แพงมากแล้วก็สะดวกด้วย แต่ละสถานีค่อนข้างจะจอดใจกลางเมืองต่างๆเลย ไปไหนต่อที่ไหนได้สะดวกสบาย รถก็หมั่นบำรุงรักษาอยู่เรื่อยๆ แม้กระทั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำก็ยังมีอยู่เลยคะ แต่จะไว้ใช้สำหรับเที่ยวในบางที่เท่านั้น แล้วก็ราคาตั๋วแพงมาก รถไฟหัวจักรไอน้ำในเรื่อง Harry Potterนั้นชื่อ The Jacobite คะ แต่เขาจะมีตารางเที่ยวของเขานะคะ แพงด้วย ผู้เขียนไม่กล้าขึ้นคะ ได้แต่มองกับถ่ายรูป
“พี่ ในรถไฟวันนี้คนแน่นยังกับรถเมล์ในกรุงเทพแนะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”
“ทางที่มาเอดินบะระเนี่ยนะหรอ”
“ใช่ๆ”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มีแข่งรักบี้หนะ”
อันนี้เป็นอีกคำเตือนนึงที่อาจจะเจอได้เหมือนกัน คือผู้เขียนโชคดีที่ได้ที่นั่งคะ เพราะหลังจากนั้นจนถึงเอดินบะระแล้วเนี่ยคนขึ้นตลอดไม่มีการลงเลย แน่นมากเหมือนรถเมล์จริงๆ แล้วอีกกรณีนึงคืออาจจะเจอคนเพิ่งดูบอลเสร็จแล้วทีมที่เชียร์ท่าทางชนะด้วย เมาซิคะจะอะไร ร้องเพลง คุยกันเสียงดังเลยแหละ แต่ในกรณีแพ้เนี่ยผู้เขียนไม่เคยเจอ
ความจริงแล้วถนนหนทาง ฟุตบาทของที่เมืองก็ดีพอควร ไม่มีท่อเปิดค้างไว้ หรือมีหลุมบ่ออะไรให้เราสะดุดหน้าคว่ำเล่น ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะเห็นทั้งนักเรียนตัวน้อยและนักศึกษาเดินไปเรียนกัน อีกอย่างผู้เขียนว่ามันก็ดีต่อสุขภาพด้วยนะคะ เราก็เผื่อเวลา เดินได้เรื่อยๆ เมืองสเตอริงไม่ได้เป็นเมืองใหญ่อะไร เดินถึงกันได้หมด อากาศก็ไม่ร้อนมาก ไม่มีควันรถอย่างบ้านเราด้วย เด็กไทยที่มาเรียนที่นี่บางคนเขาก็เดินไปเรียนกันทุกวัน ประหยัดค่ารถได้ด้วย แต่คิดว่าไม่ต้องประหยัดกันมากจนต้องฝ่าหิมะกับฝ่าฝนตอนตกหนักก็ได้นะคะ ดูแลสุขภาพหน่อย
คนที่นี่เวลาอากาศดีเขาจะชอบออกไปเดินเล่น จ๊อกกิ้ง นั่งอ่านหนังสือที่สวน นอนกลางแดดกันเลยว่างั้น ปกติที่นี่จะอากาศหนาว แดดเลยถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชาวสก๊อต
“ฉันอุตส่าห์ย้ายจากโรมาเนียมาสก๊อตแลนด์เพราะผิวฉันจะได้ไม่โดนทำร้าย แต่ดันไม่มีผู้หญิงบริสุทธิ์ให้ฉันดูดเลือด”
อันนี้เป็นคำพูดของตลกคนนึงพูดเกี่ยวกับสก๊อตแลนด์ คนที่นี่บอกกับผู้เขียนว่าสก๊อตแลนด์แดดน้อยมาก พอมีหรืออุ่นนิดหน่อยเขาก็จะชอบไปนั่งกลางแดด อาบแดดกันนั่นแหละ จะว่าไปแล้วเท่าที่ผู้เขียนเห็นนั้นคนที่นี่วิ่งจ๊อกกิ้งกันเยอะมาก บางทีก็มาเดี่ยวบ้าง มาคู่บ้าง แล้วบางทีก็ได้เห็นมากันเป็นกลุ่ม ทำเอาผู้เขียนตกใจในบางครั้งนึกว่าเขามีแข่งไตรกีฬากัน พวกนี้ก็เก่งคะ ลมแรง ฝนตก หนาวยังไงก็ออกมาวิ่ง ยกเว้นช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะเท่านั้นที่ไม่วิ่ง นับถือคะนับถือ แค่ลมพัดก็ไม่วิ่งแล้วหละ จะว่าไปแล้วกระต่ายหน้าหอพักของผู้เขียนเองก็อึดพอๆกับคนเลย ออกมาเล็มหญ้า เอ้ย กินหญ้าที่สนามหน้าหอพักได้ทุกวัน ทุกสภาพอากาศก่อนเข้าโพรงในฤดูหนาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น